Me Myself and My way

Posts tagged ‘review’

PS4 Review

ps4

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ทำอะไร “ซูเนโอะ” ขนาดนี้ … (หลังจากเป็นโนบิตะมาเกือบตลอดชีวิต ฮา)

คำว่า ซูเนโอะ มาจากพฤติกรรมแบบ ซื้อของใหม่ที่ออกวันแรก ในช่วงที่ชาวบ้านคนปกติธรรมดา เขายังไม่ซื้อกัน เพราะเหตุผลต่างๆนานา แต่คนจำพวกซูเนโอะจะไม่สนใจ ไม่รอ จัดแม่มเลยยย

เข้าเรื่องดีกว่า ผมได้เครื่องมาในราคา 17,200 บาทถ้วนจากร้าน Nadz ในวันแรกที่ของขาย”อย่างเป็นทางการ”ในไทย คือวันที่ 19 ธค ที่ผ่านมา

PS4 นั้นถือเป็นปรากฎการณ์อย่างหนึ่งของวงการทีเดียว อย่างที่รู้ๆกันว่าตลาด Hardcore Gamer นั้นเล็กน้อย ร่อยหรอ ลงไปทุกๆ ที เพราะคนเล่นมันก็มีจำนวนจำกัด เกมก็ต้องลงทุนสูง ไม่เหมือนเกมมือถือที่ลงทุนนิดเดียวพัฒนากันแป๊ปเดียว หาเงินได้น้ำได้เนื้อกว่าเห็นๆ ถึงอย่างนั้น PS4 กลับเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจถึงขนาดที่ว่าในอเมริกาซึ่งวางขายเป็นที่แรกในโลกตั้งแต่เดือน พย นั้น ของหมดตั้งแต่เปิดให้ Pre-Order ได้เพียงไม่กี่วัน ผมเป็นหนึ่งในคนที่คิดจะซื้อเครื่องอเมริกาในตอนแรกเพราะมันถูกกว่าที่ไทยมาก (ราว $399 หรือประมาณ 13,000 บาท) แต่ก็นิ่งนอนใจด้วยความที่ไม่คิดจริงๆว่าพอถึงวันวางจำหน่ายจริงแล้วของมันก็จะยังหมด ไม่มีให้สั่งอยู่ดี (ณ ปัจจุบัน Amazon US ก็ยังไม่ของให้สั่ง .. มีแต่พวกซื้อแล้วมาขายต่อ ฟันกำไรกันเลือดกระฉูด)

สุดท้ายก็มาได้จาก Nadz เพราะเคยไปลงชื่อจองไว้เมื่อนานมาแล้ว (นานจนลืมอ่ะ) แล้วพอถึงวันใกล้ๆ ทางร้านก็โทรมาบอกว่าได้ของ lot แรกนะ ได้ลด 300 เพราะจองไว้ ของเข้าวันนี้ๆ ยังงี้ ยังงั้น พอถึงวันจริงก็ได้ตามนั้นทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถือว่าบริการได้ประทับใจในระดับหนึ่งเลยครับ (แต่ก็มีคนเจอเรื่องแย่ๆกับ Nadz บ้างเหมือนกันนะ แต่ผมโชคดีมั้ง)

เข้าเรื่องดีกว่า คราวนี้ตั้งใจจะ review แบบ bullet แทนที่จะเป็นการพร่ำพรรณนาแบบครั้งรีวิว Galaxy S3 เพราะว่ามันใช้เวลามากไป เอาเวลาไปเล่นเกมต่อดีกว่า ฮา

The System

ps4-hrdware-large19

  • ตัวเครื่องสวยดี แต่หนักอิ๊บอ๋าย (แต่ก็เล็ก และเบากว่า Xbox One)
  • ความยาวพอๆกะ PS3 แต่ความกว้างมากกว่าหน่อย
  • ส่วนที่เงาๆ นั้นเป็นรอยง่าย มากกกกกกกกกกกกกกกกกก ทำใจไว้เลยps4menu2copynxua8
  • เมนูหลักบน PS4 มีชื่อว่า Playstation Dynamic Menu (PDM) (อ้างอิง)
  • เร็ว และ ลื่น ในระดับ สุดยอด
  • Concept คล้ายๆ OS ของ Vita และ Smartphone ปัจจุบัน จะมองเกมทุกเกมที่เราเคยเล่น เคยโหลด ว่าเป็นแอพๆ นึงในเครื่อง
  • เวลาสลับเข้า-ออก เกมกับPDM ด้วยปุ่ม PS ครั้งแรกจะงงพอสมควร เพราะถ้าเป็นสมัย PS3 XMB จะ overlay อยู่บนภาพของเกม จะกลับไปเกมก็แค่กดอีกทีนึง แต่ของ PS4 จะเด้งออกมาหน้าเมนูPDMเลย เหมือนกดปุ่ม Home บน smartphone ซึ่งที่บอกว่างงคือ งงว่า ตูจะกลับเข้าเกมยังไงฟระ
  • คำตอบก็คือ เลือกไปที่กรอบของเกมที่เราจะเล่น แล้วกด Start เหมือนกับตอนแรกที่เปิดเกมขึ้นมานั่นแหละ (ถ้ามันเปลี่ยนจากคำว่า Start เป็น Resume ก็จะไม่งงแล้ว)
  • การสลับเข้า-ออก ระหว่างเกมกับเมนูนั้นไวมาก ไม่มีหน่วงแม้แต่วินาทีเดียว
  • OS ดีมาก ซึ่งเอาจริงๆก็ดีมาตั้งแต่สมัย PS Vita แล้ว
  • สมัย PS3 การเปิด XMB ระหว่างเกมจะทำอะไรได้แค่บางอย่างเท่านั้น หลายๆอย่างจะทำไม่ได้ (เช่น เปิด PS Store) แต่ PS4 ไม่มีข้อจำกัดนี้แล้ว เพราะแรมมีเหลือเฟือ
  • ข้อเสียนึงก็คือตัว PS Store นั้นไม่ถูกมองว่าเป็น Application นึง ดังนั้นถ้าเป็นบั๊ก (เจอมาแล้ว) จะไม่สามารถ force close แล้ว re-open มันได้ ต้อง รอมันจัดการตัวเอง หรือ restart เครื่องสถานเดียว (ผมลองปล่อยมันทิ้งไว้ แล้วไปเล่นเกม สัก 2-3 ชม มากดเปิดใหม่ มันก็หายเหมือนกัน)
  • การเชื่อมต่อกับ Social ทำได้ทั้ง Facebook , Twitter แต่ไม่ยักกะมี youtube หรือว่าหาไม่เจอเองก็ไม่รู้
  • การ Share Screenshot, Video ทำได้ง่ายโคตรๆ แค่กดปุ่ม Option บน Controller แค่นั้นพอ
  • ถ้าเลือกจะ share Video จะมี list ของ video ที่มันอัดไว้ให้เป็นช่วงๆ แล้วเราก็ไปเลือกช่วงเวลาย่อยๆ ที่เราจะแชร์เอง
  • ps4_video_editเร็ว ลื่น และง่ายมากๆ ลองแล้วจะติดใจ
  • การตัดต่อ Video เพื่อ share จะต้อง Suspend เกมที่เราเล่นอยู่ก่อน (ใช้เวลา suspend ราวๆ 2-3 วินาที) แล้วค่อย encode video ซึ่งหลังจาก encode เสร็จก็กลับไปเล่นเกมต่อได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาโหลดด้วยซ้ำ
  • Facebook จะต้องโดนถล่มด้วย Video Gameplay บน PS4 แน่นอน
  • สามารถ Stream การเล่นสดๆให้ชาวบ้านดูได้ผ่าน twitch ด้วย อันนี้ยังไม่ได้ลอง เพราะไม่คิดว่าเนทบ้านเรามันจะดีพอที่จะเวิร์ค..

Controller

ps4-controller-720

  • ชื่อแบบไม่ต้องคิดมากว่า Dualshock 4 ต่อเนื่องมาจากรุ่นพี่อย่าง Dualshock 3 บน PS3
  • ใช้งานกับ PS3 ได้ แต่แค่ “บางเกม” เท่านั้น
  • ใช้งานกับ PC ได้เลย น่าจะเป็นผลดีอีกอย่างจากการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของ PS4 มาเป็น x86-64
  • มีแบตในตัวเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนสายชาร์จจาก Mini USB มาเป็น Micro USB ตามยุคสมัย (สายเดียวกับสายต่อ PC ของมือถือ Android นั่นแหละ)
  • รูปทรงและน้ำหนักเปลี่ยนไป จับถนัดกว่า Dualshock 3 เยอะมาก
  • วัสดุดีขึ้นชัดเจน ให้ความรู้สึก Premium พอๆกับ Xbox360 Controller
  • Analog เปลี่ยนทั้งวัสดุ ทั้งรูปทรง .. จากเดิม กลมๆ มนๆ ตอนนี้เป็น กลมๆ แบนๆ มีขอบ ทำให้นิ้วโป้งไม่หลุดง่ายๆ แบบ Dualsock 3 อีกแล้ว
  • ข้อเสียคือ มันทำให้เจ็บนิ้วกว่า Dualshock 3 เพราะวัสดุใหม่(ยาง)มันฝืดมากๆ
  • โดยรวมไม่แพ้ Xbox360 Controller แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะดีกว่า Xbox One Controller เพราะไม่เคยลองจับตัวหลัง
  • ปุ่ม Select Start กลายเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ต้องหา เพราะมันไม่มี
  • Start นั้นกลายมาเป็นปุ่ม Option .. แต่หน้าที่ก็คล้ายๆเดิม แนวคิดเดียวกับปุ่ม Menu บน Android
  • Select หายไป แต่มีคนสนใจด้วยหรอ??
  • ปุ่ม Share เพิ่มเข้ามา เอาไว้ Share Screenshot , Video หรือ Streaming
  • การที่ปุ่ม Option ย้ายไปอยู่ข้างบน ทำให้ต้องปรับตัวเหมือนกัน เพราะใช้บ่อยในการ Pause เกม (หน้าที่ปุ่ม Start เดิม)
  • มี Microphone ที่จอย  เล่นแล้วรู้สึก เหยดดด มากๆ ให้ความรู้สึกแทนอุปกรณ์สื่อสารในเกมจริงๆ
  • ขึ้นอยู่กับแต่ละเกมว่าจะให้เสียงอะไรออกที่ทีวี อะไรออกที่จอย อย่าง FIFA 14 จะเป็น Chat เท่านั้น ส่วน Resogun จะเป็นเสียง Narrator ในเกม
  • Touch pad มาอยู่ตรงกลางจอย ยังไม่ได้ลองใช้ บอกอะไรไม่ได้

Games

  • FIFA14 สุดยอด
    • อย่าไปเชื่อใครที่บอกว่าต่างจาก PS3 นิดเดียว
    • แม่งคนละเกมกันชัดๆ
    • เกมเพลย์เปลี่ยนนิดหน่อย แต่ก็รู้สึกได้
    • การเปลี่ยน Controller ก็ทำให้ต้องปรับตัวพอสมควร แต่ดีขึ้น
    • ภาพสวยขึ้น เฟรมเรตดีขึ้น ลื่นไหลมาก
    • มีอะไรใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาพอสมควร เช่น ภาพมุมกว้างของสนาม , พิธีรับมอบถ้วย
    • เล่นแล้วจะไม่อยากกลับไปเล่นภาค PS3 / Xbox360 / PC อีกเลย
    • มีบั๊กนิดหน่อย โกล์บางทีมันเอ๋อๆ นึกว่ามันรับได้ ดันทำลูกหลุดมือ คอมฉกไปยิงง่ายๆซะงั้น รอ patch แก้ต่อไป
    • Com แม่งยังเก่งเอี้ยๆ เหมือนเดิม (World Class เป็นต้นไป)
  • Assasins Creed IV ทนเล่นได้ไม่นาน เวียนหัว จะอ้วก – -”
    • ภาพสวย แต่ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรเท่าไร ดู Engine มันยังเก่าๆ ไปหน่อย
    • ถ้าไม่นับว่าเวียนหัว เกมก็ใช้ได้ละนะ คนที่ชอบภาคเก่าๆ คงจะชอบ (ปกติผมไม่เล่น Series นี้ หรือเกมแนวนี้)
  • Resogun มันส์มาก เชื่อแล้วว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดบน PS4 ตอนนี้ (ขอไม่นับ FIFA)
    • เป็นเกมแรกที่เล่นจบบน PS4 แบบว่ามันส์มาก กดยาวรวดเดียวจบเลย
  • Contrast ติสท์ดี เล่นได้เพลินๆ เป็นเกม Puzzle ที่แปลกใหม่
  • สองเกมหลังแจกฟรีสำหรับ PS Plus member
  • มีโปรเฉพาะ PS4 ถ้าสมัคร Plus ผ่าน PS4 จะได้เวลาเพิ่ม (12เดือน ฟรี 3 เดือน)
  • เล่นออนไลน์ไม่ได้ ถ้าไม่มี Plus ไม่เหมือน PS3
  • แค่มี Plus ID เดียวในเครื่องก็พอ แล้วทุก ID ในเครื่องจะออนไลน์ได้หมดเลย

Remote Play

945429_784619598221432_2000742486_n

  • Setup ง่ายมาก ทำตามที่หน้าจอบอกอย่างเดียว
  • Vita ต้องอัพเป็น Fw ล่าสุดก่อนนะ (เลขอะไรจำไม่ได้ ขี้เกียจดู) แล้วจะมี App PS4 Link
  • หลักการ Thin Client ชัดๆ
  • Vita มีปุ่มน้อยกว่า Dualshock 4 แต่ก็ทดแทน LR2, LR3 ด้วย Touch หลัง1521412_784622104887848_1683037395_n
  • บางเกม เช่น Assassins Creed IV จะทำมารองรับ Remote Play เต็มตัว จึงอาจจะมีการปรับการ Control เพื่อให้เหมาะกับ Touch Screen ของ Vita ด้วย1525247_784623451554380_1440203327_n
  • อะไรที่ทำบน PS4 ได้ ทำบน Vita ได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งการแชร์ Screenshot , Video, Streaming หรือสั่งปิดเครื่อง
  • อยู่ไกลจากเครื่องมากไม่ได้ หลุด กระตุก
  • แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกะเครื่อง บางทีก็ยังกระตุก แบบไม่เข้าใจ คิดว่าน่าจะถูกแก้ใน Fw ถัดๆไป
  • เพราะมันกระตุก เลยไม่อยากให้จริงจังอะไรกะมันมาก อาจเสียอารมณ์ได้
  • มีประโยชน์เวลาจอยแบตหมด ใช้ vita แทนจอยได้ ฮา
  • โดยสรุป ถ้าแก้กระตุกได้ ก็สุดยอด พ่อทุกสถาบัน อมขี้ไปพ่นหน้า Wii U ได้เลย

Final Verdict

  • คำถามที่เจอบ่อยมากคือ ซื้อตอนนี้เลยดีไหม
  • คำตอบคือ ถ้ามีเกมที่อยากเล่นในตอนนี้ ซื้อเลย ไม่มีเสียใจแน่นอน
  • ถ้าเล่น FIFA เป็นหลักในชีวิต ซื้อเถอะครับ ความแตกต่างมันมากพอที่จะไม่ควรเสียเวลาเล่นภาค PS3 ต่อแม้แต่วันเดียว
  • ราคา 17,500 เท่ากันทุกร้าน เข้าศูนย์ไทยได้ คิดว่าราคาคงไม่ลงใน 1-2 เดือนนี้แน่ๆ
  • ถ้าหาเครื่อง US, HK ได้จะถูกกว่านี้ แต่เข้าศูนย์ไทยไม่ได้นะ
  • ถ้าอยากได้ แต่ไม่อยากเล่นสักเกมที่ออกมาตอนนี้ .. ก็ยังไม่ต้องซื้อครับ รอยาวๆเลย เครื่องดีแค่ไหน ไม่มีเกมเล่นก็เท่านั้น
  • เกมน่าจะออกไวกว่าสมัย PS3 เพราะ x86-64 มันเขียนโปรแกรมง่ายกว่า Cell เยอะ
  • อย่าซื้อตามกระแส เสียดายตัง ฮา

ขอบคุณที่อ่านครับ 🙂

Galaxy S3 จากมุมมองของคน Anti Samsung

GALAXY-SIII-4

Samsung เปิดตัว Galaxy S3 ไปเมื่อต้น พ.ค. ที่ผ่านมา และเพิ่งวางขายจริงในประเทศไทยเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง โดยกระแสตอบรับนั้นเรียกได้ว่า “ล้นหลาม” ซึ่งก็น่าจะเป็นผลมาจากความสำเร็จที่น่าประทับของ Galaxy S2 “เรือธง” (flag ship) ของ Samsung เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง

โดยส่วนตัวนั้นผมไม่ได้ให้ความสนใจ Galaxy S3 มากนักในตอนแรก เพราะอย่างที่จั่วหัวไว้แล้วว่าปกติแล้วผมนั้นจัดอยู่ในกลุ่ม Anti Samsung ได้เลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้เมื่อมีคนถามผมว่า จะซื้อมือถือยี่ห้อไหนดี จะซื้อจอยี่ห้อไหนดี หรือ จะซื้อโน้ตบุคยี่ห้อไหนดี ชื่อแบรนด์ Samsung นั้นไม่เคยหลุดออกมากลายเป็นคำแนะนำจากผมเลย ทั้งนี้เพราะเหตุผลที่หลายๆคนก็คงทราบกันดีว่า ไม่ใช่ของ Samsung นั้น "ประสิทธิภาพ” ไม่ดี แต่มันเป็นเพราะ “คุณภาพ” ของวัสดุ ตัวสินค้า รวมไปถึงบริการ ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อแบรนด์ว่า Samsung ไม่ทน เจ๊งง่าย และ ศูนย์บริการห่วย

Galaxy S3 ไม่ใช่ gadget ตัวแรกที่ Samsung ได้เงินจากผม เมื่อปีที่แล้วผมเคยเสียเงินให้ Galaxy Tab 10.1 มาแล้ว ในครั้งนั้น Tab 10.1 (ขอเรียกสั้นๆ) เป็นเพียงตัวเลือก “อันดับสาม” ด้วยเหตุผลของการไม่เชื่อใจ Samsung ดังข้างต้น

sony-s1-and-s2-2011-04-26_00-57-40-rm-timn

สาเหตุที่ผมได้เป็นลูกค้า Samsung ในครั้งนั้น เกิดจากเป้าหมายอันดับ 1 อย่าง Lenovo Thinkpad Tablet นั้นมีราคา(และน้ำหนัก) ที่สูงเกินไป ส่วนอันดับที่อย่าง 2 Sony Tablet S1 นั้นก็ยังไม่สามารถสลัดคราบความ “อุ้ยอ้าย” ในการวางขายผลิตภัณฑ์ของ Sony ประเทศไทย ได้ (Tablet S นั้นเปิดตัวก่อน Tab 10.1 อยู่หลายเดือน แต่วางขายในประเทศไทยหลัง Tab 10.1 อีกหลายเดือนเช่นกัน)

ด้วยความ “อยากได้” tablet สักตัวมาใช้งานมากๆในตอนนั้น และสเปคที่ไม่ต่างกันนัก (Tab 10.1 และ Tablet S นั้นใช้ CPU Tegra2 ทั้งคู่) ทำให้ผมตัดสินใจไม่รอ Tablet S1 จาก Sony และยอมเสียเงินให้ gadget จาก Samsung เป็นครั้งแรก

การตัดสินใจในครั้งนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าถูก เพราะหลังจาก Tablet S1 วางขายในประเทศไทย(ซะที) และผมได้ลองเล่นมัน (เครื่องเพื่อน) ผมพบว่า Sony นั้น custom rom ของตัวเองมาได้ดีกว่า Samsung เยอะ รวมไปถึงสีสันและความคมชัดของหน้าจอก็เหนือกว่า และในตอนนี้ S1 นั้นได้ Official ICS ไปเป็นเดือนแล้วในขณะที่ Tab 10.1 นั้นยังคงต้อง “รอต่อไป” อยู่เลย ดังนั้นความห่วยด้าน บริการ ของ Samsung นั้นยังคง ”เหมือนเดิม” อยู่

Why Galaxy S3?

Download_01_Nexus_OneGalaxy S3 เป็น Android ตัวที่ 2 ของผม (ที่เป็นของตัวเอง) ต่อจาก Nexus One แต่ด้วยความที่คนรอบตัวผมใช้ Android กันค่อนข้างเยอะ จึงได้มีโอกาสลองเล่นรุ่นสูงๆแทบจะทุกรุ่นในช่วงเวลาที่ผ่านมา และเมื่อมีคนถามผมว่า เมื่อไรจะเปลี่ยนมือถือใหม่ (ภาพลักษณ์ของ Nexus One นั้นดูแก่ไปถนัดตา หลังยุค iPhone 4/ Galaxy S2) คำตอบของผมก็คือ มันยังไม่มีอะไรที่ Nexus One ทำไม่ได้ แล้วทำไมถึงจะต้องเปลี่ยน?

การไม่ได้รับ Official ICS จาก Google นั้นไม่ได้มีผลกระทบเท่าการพยายามทำ Miui.us เวอร์ชัน ICS มาเข็นลงแล้วพบว่ามัน “โคตรช้าเลย” ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อความคาดหวัง CM9 บน Nexus One ว่ามันจะใช้งานได้ลื่น (และไม่รู้เมื่อไรมันจะสมบูรณ์) นับตั้งแต่นั้นมาผมก็เริ่มมีกิเลสต่อมือถือตัวใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีตัวไหนโดนใจ และสร้างกิเลสได้มากพอ จนกระทั่งผมได้มาจับ Galaxy S3 นี่เอง

Galaxy S3 ยังคงคอนเซปท์ “พลาสติก” ของ Samsung ไว้ได้เป๊ะ แต่เปลี่ยนจากความ “เหลี่ยม” ของ S2 มาเป็นความโค้งมนแบบ Galaxy Nexus ดังนั้น Bias ด้านวัสดุของผมยังคงอยู่ครบทุกประการ กับฝาหลังที่เงาวับ แบบที่ถ้าไม่ใส่เคสยังไงก็เป็นรอย จึงทำให้จุดนี้เป็นจุดบอดใหญ่ที่สุด ในมือถือที่เรียกได้ว่า “ดีที่สุด” ในตลาดขณะนี้ (ซึ่งหลังจาก iPhone 5 ออกก็มีโอกาสสูงที่จะเสียตำแหน่งไป)

ข้อดีของ Galaxy S3 คืออะไร?

  • เร็ว ฮิป หาย – S3 ใช้ชิป Exynos 4 Quad กับ แรม 1 GB ซึ่งประสิทธิภาพทั้งในด้านตัวเลข (ผล Benchmark) ซึ่งจากการทดลองจับเทียบกับ HTC One X ซึ่งเป็น Tegra 3 แล้วพบว่า S3 ลื่นกว่าเยอะเลย และนั่นทำให้ผมสามารถตัด Choice ที่จะรอมือถือรุ่นต่อๆไปได้เยอะเลย เพราะส่วนใหญ่จะใช้ Tegra 3 ทั้งนั้น

    อย่างไรก็ตาม ผล benchmark และการทดลองจับตัวเครื่องก่อนซื้อมาใช้งานจริง ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเชื่อถือเสมอไป เพราะหลังจากเป็นเจ้าของมันมาได้ 2 วัน ก็ยังเจอบางสถานการณ์ที่ออกจากแอพมาสู่ Home Screen แล้วต้องรออยู่บ้าง แต่ค่อนข้างคิดว่าเปฺ็นปัญหาของ Touchwiz เองซะมากกว่า เพราะนอกจากนั้น 99% ความเร็วฮิปหาย นั้นก็ยังคงเป็นจริง

  • บาง เบา – S3 มีน้ำหนัก 133g ซึ่งหนักกว่า S2 อยู่ถึงเกือบ 20g แต่คนรู้จักซึ่งเป็นเจ้าของ S2 กลับบอกว่าจับ S3 แล้วรู้สึกเบากว่า ที่น่าแปลกใจคือไม่ใช่เพียงคนเดียว แต่เป็น 2 คนพูดตรงกัน ดังนั้นจึงน่าจะเป็นผลจากการ design มากกว่าอุปาทาน ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่าเบา แต่ไม่ได้อะไรนักเพราะ Nexus One เองก็หนักเพียง 130g (แต่ Nexus One จอเล็กกว่าถึง 1.3”)

    ความบางของ S3 ทำให้ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ได้สบาย แต่ความกว้างของมันอาจจะทำให้รู้สึกเกะกะบาง ประกอบกับความลื่นของวัสดุ ทำให้เวลายกขาสูงๆแล้วเสียวจะร่วงเหมือนกัน

  • Smart Stay – Samsung ยัดฟีเจอร์เท่ๆมากมายมาให้กับ S3 ทั้งในเครื่อง Motios3-smart-stayn Control, Smart Alert, S Voice 9ล9 แต่พวกนั้นมันไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับผมนัก แต่ Smart Stay นั้นมีประโยชน์มากๆ ถ้าคุณชอบอ่านเวบ บทความ หนังสือ ยาวๆบนโทรศัพท์คงจะเคยพบกับความรำคาญที่หน้าจอมันดับไปเองตาม Timeout แล้วต้องมากดเปิดหน้าจอ พร้อม unlock ใหม่เพื่ออ่านต่อตลอดเวลา การที๋โทรศัพท์รู้ว่าเรา”มอง” มันอยู่และไม่ดับไปนั้นให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นมาก

    อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ใช้การไม่ได้เลยแทบจะ 100% ในพื้นที่ที่แสงน้อยเช่นบนรถตู้ หรือแท็กซี่ตอนกลางคืน

  • จอใหญ่ ดี? – เรื่องจอนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผมเองคิดว่ามันใหญ่ไปหน่อย แต่บางคนก็บอกว่า จอใหญ่ดีจัง ดังนั้น ไปลองจับตัวจริงแล้วตัดสินใจเองจะดีที่สุดครับ

    หน้าจอ 4.8” นั้นยังพอทำให้การใช้งานมือเดียวเป็นไปได้อยู่บ้าง (ดีกว่า Note) แต่ถ้าคุณเป็นคนมือไม่ใหญ่ก็อย่าดีกว่า เพราะมันบอบบางมาก ถ้าตกไปเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง (Drop test S3 vs 4S)

  • กล้อง – S3 นั้นมีกล้องที่ดี แต่ผมว่ามันไม่ได้ดีมากเหมือนที่อ่านจากหลายๆรีวิวในเวบ อาจจะดีกว่า S2 ตรงความเร็วชัตเตอร์ (S3 ใช้ zero shutter lag ฟีเจอร์ของ ICS) ซึ่งเราต้องรอ Auto Focus เสร็จแล้วค่อยถ่าย ไม่ใช่ถ่ายแล้วค่อยรอมัน Auto Focus

    540540_474851692531559_657752232_n 598771_474851359198259_552975148_n

    การถ่ายรูปที่ 8 MP นั้นมี Noise อยู่พอสมควร ในขณะที่การถ่ายที่แสงน้อยก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับมือถือตัวท็อปอื่นๆมากนัก ดังนั้นผมคิดว่ากล้องมันก็ “งั้นๆแหละ”

  • เสียง – ถ้าถามว่าผมประทับใจส่วนไหนที่สุด ผมคงบอกว่าเป็นเรื่อง “เสียง” นี่แหละ เรียกว่าเป็น Android ตัวแรกที่ผมรู้สึกว่าเสียงมันดีกว่า iPod Touch 2nd Gen ที่ใช้อยู่ อย่างไรก็ตาม เสียงนั้นเป็นเรื่องของรสนิยมและความรู้สึกล้วนๆ ผมชอบ คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็เป็นได้ ดังนั้นไปลองฟังเองก็จะดีที่สุดเช่นกันครับ (แต่เสียงดีกว่า S2 แน่ๆ ฟันธง)
  • แบตเตอรี่ – เป็นอีกหนึ่ง killer feature ของ S3 เลยทีเดียวที่อัดแบตมาให้ถึง 2100 mAh ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งทุกเจ้าในตลาด ส่งผลอย่างชัดเจนต่อการใช้งาน “วันต่อวัน” ของ smart phone จอใหญ่ระดับนี้

    สำหรับการทดสอบมาสองวัน พบกว่า 2100 mAh แต่ถ้าเล่นหนักๆ เปิด 3g ตลอดเวลา ก็คงอยู่ได้ 1 วันแบบพอดีๆเท่านั้น ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้แต่ประการใด ..

ข้อเสียล่ะ?

  • วัสดุ – บอบบาง เป็นรอยง่าย ผิวเป็นมัน เรียกว่าถ้าไม่อยากให้เป็นรอยก็ต้องใส่เคส “ดีๆ” สถานเดียว ไม่มีทางที่มันจะไม่เป็นรอยภายใต้การใช้งานปกติประจำวัน
  • ไม่มีทางเลือกสำหรับคนไม่ชอบมือถือสีขาว – เชื่อว่าหลายๆคนเมื่อได้เห็น S3 สี Pebble Blue แล้วคงคิดว่า มัน สวย มาก เหมือนๆกับผม แต่สีน้ำเงินเจ้ากรรมนี้ดันประสบปัญหาการผลิตจนต้องเลื่อนการวางขายไปแบบไม่มีกำหนด.. ดังนั้นถ้าทนกิเลสตัวเองไม่ไหว (เช่นผม) ตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกอื่นครับ
  • USB ไดร์เวอร์ – ยังคงต้องลงพร้อมกับ Kies เท่านั้นสำหรับ Windows XP แต่กับ 7 ไม่มีปัญหา เสียบแล้วทำงานผ่าน MTP ได้เลย ยังคงไม่ support การ mount แบบ USB Mass Storage เช่นเดิม (น่าหงุดหงิดเล็กน้อยสำหรับคนที่ใช้ Nexus One มาก่อน)
  • Video Player – ตัวเครื่องชูโรงการเล่นไฟล์วีดีโอแบบ Full HD 1080p อย่างลื่นไหล แต่ตัว Video Player ที่ให้มากับเครื่องดันไม่ support ไฟล์นามสกุล .TS หรือ .TP ซึ่งเป็นมาตรฐานของ Full HD Video ซะแบบนั้น..
    Screenshot_2012-06-09-18-37-29
    อย่างไรก็ตาม การเล่นไฟล์ AVI 1080p ก็ทำได้อย่างลื่นไหลไร้ที่ติ สมราคาคุย
  • ไม่ติดนิ้ว – เป็นข้อด้อยหลักสำหรับผู้ที่ชอบในความลื่น นุ่มนวล ติดนิ้วของ iOS ครับ ถึงแม้ S3 จะใช้ชิปประมวลผลและกราฟิกที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด(ในฝั่ง android – อาจจะไม่ได้ดีกว่าชิป A5 ของ new iPad) แต่เรื่องความติดนิ้วในการเลื่อนหน้าจอก็ยังคงสู้ iOS ไม่ได้อยู่ดี

    อย่างไรก็ตาม S3 ก็ทำได้ดีที่สุดในฟาก Android แล้วครับ ผมลองไปลากๆเล่น HTC One X ก็พบว่าแย่กว่าอย่างชัดเจน

Full Review

สำหรับการรีวิวอย่างละเอียด ผมขอแนะนำให้ไปอ่านจาก MobileDista ซึ่งผมว่าเป็นเว็บของไทยเขียนได้ดีและละเอียดที่สุดแล้ว แต่ถ้าอยากอ่านของนอกผมแนะนำของ TechRadar ครับ (เขียนเองไม่ไหว และคงเขียนไม่ได้ดีเท่าสองเว็บนี้..)

ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ครับ ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันใหม่ ยิ้ม

* edit – เพิ่มข้อเสียอีกข้อครับ ตกหล่นไปในตอนแรก

เมื่อ SuckSeed ไม่ได้ Suck อย่างที่คิด

SuckseedPoster02

SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” เป็นหนังแนว “Coming of Age” ตามสไตล์ถนัดของ GTH อิีกเรื่องหนึ่งหลังจากประสบความสำเร็จแบบล้นหลามจากทั้ง  “แฟนฉัน” “เพื่อนสนิท” และ “Seasons Change” (ผมไม่ได้ดู “ปิดเทอมใหญ่ฯ” จึงขอละไว้ในที่นี้)

หน้าหนังที่โปรโมทออกมาในเทรลเลอร์จะเป็นเรื่องราวของชีวิตวัยรุ่น ม ปลาย มีเรื่องราวของดนตรี และความรัก โดยมีจุดขายตรงที่บรรดาตัวเอกทั้งนั้น “ห่วย” แต่ก็ยังกล้าๆ ที่จะฝันถึงการเข้ารอบสุดท้ายของการประกวดฮอทเวฟ เวทีของนักดนตรี ม ปลาย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีอยู่ไหม ใครรู้รบกวนช่วยบอกทีครับ Open-mouthed smile)

ความรู้สึกของผมหลังจากได้ดูเทรลเลอร์นั้นต้องบอกตรงๆว่า “เฉยๆ” ออกจะออกแนวคิดว่า คงไม่ไปดู เสียด้วยซ้ำ เพราะหลังๆหนังแนวนี้มันค่อนข้างจะเยอะ ทั้งจาก GTH เองหรือค่ายอื่นๆ อีกทั้งในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แว่บแรกที่เห็นนางเอก น้องแนท ณัฐชา นวลแจ่ม นั้นผมกลับไม่รู้สึก ปิ๊งปั๊ง เธอมากนัก เพราะว่า แนท นั้นไม่ใช่นางเอกที่สวย แบบที่เห้ยย สวยว่ะ สวยสาดดด เหมือน ใบเฟิร์น หรือต่าย หรือ นาถ (ดุจดาว) ซึ่งความคิดนี้ต้องบอกว่าผิดถนัดอย่างสิ้นเชิงเมื่อผมได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้จริงๆในโรง (ถึงสองรอบ)

จุดเปลี่ยนจากความ “เฉยๆ คงไม่ดู” ไปสู่การเสียเงินดูเรื่องนี้รอบแรกนั้นเกิดจาก “กระแส” ใน pantip และแวดวงไซเบอร์ twitter,facebook ล้วนๆเลยครับ เพราะว่า feedback ของหนังนั้นออกมา “ดีมาก” มีการชมกันไม่ขาดสาย ทั้งตัวหนังเอง และตัวนางเอก Smile with tongue out รวมไปถึงดารานำชายทั้งสามคนด้วย

[SPOILER WARNING – โคตร SPOIL ละเอียดยิบ อย่าอ่านถ้ายังไม่ได้ดูครับ]

15 นาทีแรก

A10385914-7

จั่วหัวให้เท่ๆไปงั้น ผมไม่รู้หรอกว่าจริงๆมัน 15 นาทีหรือมากกว่า สำหรับเรื่องราว “Prologue” วัยเด็กของเรื่องนี้ มันเป็นช่วงเวลาเปิดตัวที่ผมค่อนข้างจะ “ไม่อิน” และรู้สึกเฝือๆ พอสมควร นั่นก็เพราะการแสดงของ ดาราเด็ก นั้นยังดูเป็น ดาราเด็ก อยู่มาก ความเป็นธรรมชาติและอะไรหลายๆอย่างมันไม่ “เนียน” เหมือนตอนนั่งดู “แฟนฉัน” ในขณะเดียวกันหลายๆฉาก ก็ให้อารมณ์เหมือน “แฟนฉัน” remake (เช่น ฉากที่แม่ขึ้นมาว่าเป็ดเรื่องใส่รองเท้านอน ไม่ทำการบ้าน บลาๆ) ส่วนการคัดเลือก “หน้าตา” ของดาราเด็กนั้น ต้องบอกว่า GTH ทำได้น่าประทับใจมาก เป็ด ในตอนเด็ก ยิ้มให้อารมณ์เหมือนเป็ดในตอนโตมากๆ เช่นเดียวกันกับน้องเด็กผู้หญิงที่แสดงเป็นเอิญ ก็มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกันอยู่

ผมเข้าใจว่า Prologue นี้ มีหน้าที่ของมันคือการตอกย้ำ “ของแสลง” ในใจของคนแอบรักทุกคนว่า ถ้าความแตกไปแล้ว เค้าไม่ชอบเรามันจะ Bad End แค่ไหน (โดนเพื่อนล้อ โดนสาวเจ้าต่อว่า แถมซ้ำยังทำให้สาวเจ้าร้องไห้เสียอีก)

นอกจากนี้อีก point นึงก็คงเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่าง คุ้ง กับ เป็ด ว่าสนิทสนมและรักกันมากขนาดไหน ในฉากที่เป็ดโดนล้อเรื่องร้องเพลง แล้วคุ้งเอากระดาษปาหัวเพื่อนแก้แค้นแทนซะเลย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่จะ reflect ถึงเหตุผลหลายๆอย่างในตอน climax ของเรื่อง

Coming of Ages

Red Eyes Black Dragon

พอเรื่องราวเริ่มเข้ามาสู่ตอนโต Coming of Ages attack ก็เริ่มพรั่งพรูมากขึ้น หลังจากปล่อยหมัดแย๊ปจากเพลง “อยากจะเห็นหน้าคุณ” และเอา พี่ป๊อด มาร้อง “ก่อน” เรียกน้ำย่อยกันไปแล้ว มาในช่วงนี้หนังเริ่มที่จะใส่ “ของเล่น” สมัยเรียนทั้งหลายแหล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น “การ์ดยูกิ” (ซึ่งผมถือว่า หลงยุค พอสมควร เพราะว่า timeline ของหนังช่วงนี้มันคือปี 2550 ซึ่งการ์ดยูกิ มันโคตรจะ out ไปนานแล้ว แต่ก็พอยอมรับได้) ผมคิดว่า Blue Eyes White Dragon และ Red Eyes Black Dragon นั้นประสบความสำเร็จเรียกรอยยิ้มจากคนดูได้มากแน่ๆ

ถัดจากการ์ดยูกิก็มีการรำลึกถึงลูกดิ่ง YoYo, Roller Blade และเกมส์ Dance Dance Revolution ภาคเกมส์ตู้ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในความทรงจำของเด็กวัยรุ่นที่เกิดในสมัย 252x และอาจจะรวมถึง 253x ช่วงต้นๆ ด้วย (ผมเข้าใจว่าลุ่นหลังจาก 2535 นั้นน่าจะแทบไม่ทันช่วง Roller Blade เฟื่องฟูกันแล้ว) ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ GTH จงใจ เจาะกลุ่มเป้าหมาย (ซึ่งก็คือพวกเรา) อย่างเต็มๆ เรียกว่าถ้าชวน พ่อแม่ลุงป้าน้าอา ไปดูเรื่องนี้ ท่านก็คงได้แค่ หึหึ ในใจ แล้วถามว่า อะไรของมันว๊ะ!

เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังแสดงตัวตนของ คุ้ง ออกมาอีกหน่อย คือความหุนหันพลันแล่น ทำอะไรตามอารมณ์ รักง่าย หน่ายไว ด้วย

ปิ๊กกีตาร์ Blue Eyes นี่อยากได้จริงๆ มีคนทำขายไหม Open-mouthed smile เจ๋งกว่าปิ๊กที่แถมจากการซื้อตั๋วล่วงหน้าจมเลย

กลอน

ถือเป็น 1 ฉากใหญ่ที่น่ารักอันดับต้นๆของเรื่องนี้ ในตอนที่เป็ดสะกดรอยตาม Ex เพื่อดู “การจีบสาว” และแต่งมันออกมาเป็นเพลงกลอน เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังเป็นช่วงพีคที่สุดของความสัมพันธ์ของตัวแสดงนำทั้งสี่คน เป็ด-คุ้ง-Ex-เอิญ อีกด้วย

มีสองฉากในช่วงนี้ที่เป็นความประทับใจส่วนตัวของผม นั่นก็คือฉากห้องซ้อมดนตรี และฉากชกมวย ซึ่งผม “เข้าใจว่า” ทั้งสองฉากนั้นถ่ายทำที่ รร.ผะดุงศิษย์พิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าช่วงประถมของผม ต้องยอมรับว่าตอนดูรอบแรกนั้นผม “ไม่ได้เอะใจเลย” แต่พอมีเพื่อนเก่ามาบอกทาง facebook จึงได้ตั้งใจสังเกตในการไปดูรอบที่สอง แล้วก็คิดว่า น่าจะใช่ เพราะเมื่อกล้องถ่ายไปที่ประตู และclose ไปที่พื้น มันดูคุ้นๆอยู่ ประกอบกับ รร.ผะดุงศิษย์พิทยา นั้นเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเรื่อง “มวยสากลสมัครเล่น” อยู่แล้ว ผมจึงคิด(เอาเอง) ว่าฉากต่อยมวยก็น่าจะถ่ายที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน (คงมีโรงเรียนจำนวนไม่มากนัก ที่มี สนามมวย อยู่ข้างๆโรงอาหาร) อ้อ รร.ผม ยังมีการจัดการแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่น “นวมทอง” ทุกปีอีกด้วยนะ (ไม่รู้สมัยนี้ยังมีหรือเปล่า)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นเพียง การเข้าใจไปเอง ของผมคนเดียวล้วนๆ จะยืนยังหรืออ้างอิงยังไงก็รอดูเฉลยใน “Disc2” ของ DVD ของเรื่องนี้ละกันครับ Open-mouthed smile (คิดเอาเองอีกล่ะ ว่าต้องมีบอก)

ดนตรี

big5

“เพลงมันก็มีอยู่สองอย่างนั่นละ ถ้ามันเร็ว มันก็ Rock ถ้ามันช้า มันก็เป็นเพลงรัก” เป็นประโยคที่ผมชอบมาก และผมคิดว่า Grammy นั้น เสียดสีวงการของตัวเองอยู่ด้วย เพราะเพลงในตลาดหลักบ้านเรานั้น “มันเป็นแบบนี้จริงๆ” แล้วผมก็ชอบที่มีเด็กอีกคนมาขัดว่า “แล้วลูกทุ่งล่ะ สามช่า ไทยเดิม ล่ะ” มันเหมือนเป็นการเสียดสีพวกเรากลายๆ ว่า ฟังแต่ “Rock” กะ “รัก” จนลืมไปแล้วรึเปล่าว่ามีเพลงแบบอื่นๆอยู่ด้วย

Seasons Change เลือกใช้ดนตรี Classic ในการประกอบอารมณ์ จังหวะ และช่วงเวลาของเรื่อง SuckSeed ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ในแบบฉบับของดนตรี “Rock” โดย Rocker ระดับแนวหน้าของประเทศไทยในช่วง10-15 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นครบ(และบางวงก็โผล่มาเพียงชื่อ หรือส่งเพลงมาเป็นตัวแทน) ทั้ง ModernDog, Paradox, BlackHead, Big Ass, Kala, Clash, LOSO, บางแก้ว, BodySlam, บร๊ะเจ้าโจ๊ก SoCool อีกทั้งรุ่นเก๋าอย่าง อัสนี-วสันต์ ก็มาด้วย (น่าเสียดายที่ด้วยข้อจำกัดของ “สังกัด” นั้นทำให้เราอดเห็น ไอน้ำ หรือ Hyper ในหนังเรื่องนี้ด้วย)

การนำนักร้องจริงๆ มาประกอบฉากนั้น “ได้อารมณ์”เอามากๆ และผมชื่นชมคนคิดฉากพวกนี้จริงๆ มันทำให้หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นที่ชัดเจนมาก เวลาหลับตาแล้วย้อนกลับไปนึกถึง ใครจะลืมฉากพี่แด๊กกระโดดน้ำ พี่ปูโดนไฟเผา หรือบร๊ะเจ้าโจ๊กบนรถไฟกันได้ละ จริงไหม

(ผมชอบการปรากฎตัวของ SoCool บนรถไฟมาก เป็นฉากที่ผมคิดว่า SoCool เท่ว่ะ แบบจริงจัง เป็นครั้งแรก Open-mouthed smile)

ส่วนเพลง Original Soundtrack อย่าง “ทุ้มในใจ” นั้นผมกลับไม่ค่อยชอบเท่าไร สำหรับเรื่องนี้เพลงที่ติดหูและชอบมาก น่าจะเป็นเพลง “เพลงที่ฉันไม่ได้แต่ง” มากกว่า เพราะเนื้อร้องและทำนองมันเหมาะสำหรับหนังเรื่องนี้มากๆ ในขณะเดียวกันเพลง “ซักซี้ดนึง” ก็เป็นเพลงที่มันส์ อย่างที่เอิญว่าไว้จริงๆ ยิ่งได้ฟังเวอร์ชัน Paradox ใน OST album ก็ยิ่งรู้สึกชอบเพลงนี้มากขึ้น

เสียงของ แนท ณัฐชา เพราะ น่าฟังมาก น่าเสียดายที่ OST album นั้นไม่มีเพลงที่ทำขึ้นใหม่ (เหมือนสมัย Seasons Change) เลย แต่ก็ยังแอบหวังว่าจะได้ฟังเพลงต่อๆไปของน้องเค้าอีก เหมือนอย่างที่ หนูนา ทำมาแล้ว Open-mouthed smile (เสียงหนูนา ผมก็ชอบมาก ถึงจะไม่ได้รู้สึกประทับใจกับ กวน มึน โฮ ก็เถอะ)

(ผมฟังเพลง “เพลงที่ฉันไม่ได้แต่ง” เวอร์ชัน Arena ซ้ำเป็น 10 รอบหลังจากที่ดูหนังรอบแรก)

THE ARENA

เราได้เห็นชื่อวงตลกๆในเรื่องนี้ อย่าง“คอนโดมิเนียมคุณลุง” ซึ่งล้อ “อพาร์ทเมนท์คุณป้า” อย่างไม่ปิดบังแต่ถ้าเราลองมามองดูที่วงหลักอย่าง Arena นั้นมันก็มีความหมายแฝงในตัวมันเองเหมือนกัน (ส่วนวงของพระเอก อย่าง SuckSeed นั้นมีคำอธิบายชื่อวงพร้อมสรรพอยู่แล้วในตัวเรื่อง)

ทำไมถึง The Arena?

อันนี้เป็นความเข้าใจ(ไปเอง) อีกแล้ว เพราะว่า 2 ใน 4 นักดนตรีในวงนี้ มีชื่อ “ล้อ” กับสนามฟุตบอลใหญ่ในประเทศเรานั่นเองครับ ซึ่งก็คือ “ราช ฉมัง” (สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก) และ “โดม ฮันเดอร์” หรือ ธันเดอร์โดม ยามาฮ่า สเตเดี้ยม ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด) ในขณะที่ผมหาคำอธิบายให้อีก 2 คนในวงไม่ได้ เพราะ “เค โอวว” กะอีกคนที่โดนไล่ออกจากวง (จำชื่อไม่ได้) นั้นดูจะไม่สอดคล้องกับสนามกีฬาใดๆเลย ถ้าใครรู้ก็บอกกล่าวกันได้นะครับ Open-mouthed smile

นางเอก

SuckSeed-Natt

อย่างที่ผมบอกไปในตอนแรกว่า น้องแนท นั้นไม่ใช่นางเอกประเภท สวยเวอร์ๆ หรือ สวยนางฟ้า เพราะว่าอย่างแรกเลยคือเธอ “ไม่ขาว” (ฮา) ตามสมัยนิยมสักเท่าไร ซึ่งนั่นเป็นความจริงถ้าเราตัดสินจากเพียง ภาพนิ่ง หรือจากเทรลเลอร์สั้นๆ

เมื่ออยู่ในตัวหนัง ความคิดนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะบทที่เธอได้ และสิ่งที่เธอแสดงออกมานั้น “ส่งเสริมกันได้อย่างไม่มีที่ติ” รอยยิ้มที่ทำเอาหลายคนใจละลายในฉาก “คิดเองบ้างดิ” คงไม่ใช่สิ่งที่ความสวยอย่างเดียวจะทำได้ ซึ่งรอยยิ้มนี้เองที่เป็น “ไม้ตาย” และ “จุดเด่น” ที่สุดของนางเอกหน้าใหม่คนนี้ ยิ้มแบบไม่เห็นฟัน ยิ้มแบบอมยิ้ม ยิ้มแบบเศร้าๆ ยิ้มทั้งน้ำตา โอย จะน่ารักไปไหนคร้าบบ

ตรงจุดนี้ผมมองว่าต้องให้เครดิตกับ ผู้กำกับ เต็มๆ ที่เลือกให้นักแสดงใช้ “รอยยิ้ม” ที่เหมาะสมกับตนได้อย่างดีที่สุด เราเห็นนางเอกสวยๆมากมาย ยิ้ม หรือ ร้องไห้ แล้ว ไม่สวย ในละครหลังข่าวดาษดื่นจนเสียของกันจนชินตา แต่ผู้กำกับของ GTH utilize นางเอกของเค้าได้ดีที่สุดจริงๆ Smile

ไม่ว่าหนังจะแป้กหรือไม่ GTH’s Angels (ตั้งเอง เอามาแข่งกะ Disney’s Princesses) ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริงๆ Smile

Flaw นิดเดียวก็คือพอเจอฉาก close up หน้าเข้าไป ตาของแนทดูจะช้ำๆ ไม่สวยสักเท่าไร แต่ก็โอเคล๊ะ แค่นี้ก็ละลายกันละ จริงไหมคับ Smile with tongue out

พระเอก

SuckSeed-Kao

เป็นความจริงที่ยากจะยอมรับ แต่ผมพบว่า พระเอก ในเรื่องนี้ มีสเน่ห์มาก (น้องเค้าชื่อ เก้า ใช่ปะ?) การแสดงสีหน้า และรอยยิ้มซื่อๆ นั้นถือว่าทำได้ดีมากๆ ทำเอาผมนึกถึง บอล ของ Seasons Change ซึ่งก็เป็นพระเอกคนที่ผมชอบคนหนึ่ง มีหนังไม่มากนักที่จะทำให้ผมต้องเลือกมองสีหน้าพระเอกหรือหน้านางเอก(ฮา) แต่เรื่องนี้คือหนึ่งในนั้นครับ

คุ้ง แอนด์ เฟรนส์

Suckseed02

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แปลก เมื่อพระเอก และนางเอก กลับไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเรื่องเลย คนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปมากที่สุด กลับเป็นเพื่อนสนิทของพระเอกอย่าง คุ้ง นั่นเอง

คุ้งเป็นคนที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเป็ดมาก รวมไปถึงไว้ใจเป็ดมากๆ จะทำอะไรก็ทำกับเป็ด ชอบสาวคนไหนก็มาบอกเป็ดก่อน อกหักก็มาหาเป็ด (แต่พออินเลิฟเมิงปลีกตัวออกไปก่อนเลยนะเพื่อน ฮาๆ) เรียกว่าทั้งชีวิตของคุ้งก็มีแต่เป็ด และเป็ดมันก็มีแต่คุ้ง และมันก็ยังคงเป็นแบบนั้นถึงแม้ว่าจะมี Ex เข้ามาร่วมก๊วนในภายหลัง โดยเราจะสังเกตว่า Ex ไม่มีบทบาทในการช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างทั้งสองคนใน Climax ของเรื่องเลย ถ้าเราไม่มองว่าผู้กำกับ “จงใจจนเกินไป” ให้มันยืดเยื้อไปเคลียร์กันเองในสามปีให้หลัง เราก็จะมองแบบเข้าข้างผู้กำกับ ได้ว่า เพราะ Ex นั้นอยู่ในวงนอกระหว่างเป็ดกับคุ้ง อีกที จึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนได้มากนักในเรื่องนี้

นี่เป็นจุดหนึ่งที่ เอิญ ก็ทราบดีมาตลอด ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มคบกัน จนกระทั่งถึงวันที่ต้องเลิกกัน และเมื่อกลับมา “เหมือนเดิม” อีกครั้งหนึ่ง

เอิญ เป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ได้ยากในชีวิตจริง ผู้หญิงที่เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนกับเพื่อน ของผู้ชาย เข้าใจว่าทำไมเป็ดถึงต้องเลิกกับตน เพื่ออะไรสักอย่างที่เป็ดก็บอกไม่ถูก (ผมก็ไม่เข้าใจมัน หงุดหงิดมากตอนนี้ 55)

เอิญ เป็นผู้หญิงที่ไม่พูดมาก แต่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง มีจริตที่งดงามและพอดีในการกล้าที่จะพูดความในใจของตัวเอง เรียกว่าเป็น Character ที่ Perfect จนเกินจริงที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้

Climax

Climax ของเรื่องนี้นั้นเกิดมาจากความ Suck ของพระเอกอย่าง เป็ด คนเดียวล้วนๆ ถ้าเราพิจารณาจากว่าเป็ดมีโอกาสถึง 3 ครั้ง ในการที่จะบอกให้ คุ้ง รู้ว่าตนชอบเอิญ โดยที่คุ้งจะ ไม่รู้สึกโกรธ หรือแม้แต่ไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว แต่เป็ดเลือกที่จะ “ไม่ทำ” มันทั้ง 3 ครั้ง

ครั้งแรกคือที่สนามบินในตอนเด็ก

สองคือคุ้งโผล่เข้ามาบอกว่า มึงชอบเอิญหรอ ก่อนที่คุ้งจะบอกว่า ตนนั้นชอบเอิญ

ครั้งสุดท้ายคือ หน้าเวทีรอบสุดท้ายฮอทเวฟที่กรุงเทพ หลังจากคุ้งอกหักเรียบร้อย

ผมมองว่าเป็ดปากแข็งอย่างไร้เหตุผล จนดูเหมือนคนเขียนบทจงใจจะให้มันเป็นแบบนี้จนเกินไป เพราะถ้าเราพิจารณาจากความสนิทของคุ้งและเป็ด มันแทบจะเป็นไปไมได้เลยที่สองคนนี้จะไม่คุยกันว่า “เห้ย คุ้ง เอิญน่ารักว่ะ” หรืออะไรแบบนี้ ในตอนแรกๆ คุ้งไม่ได้ชอบอะไรเอิญมากมายไปกว่า ผู้หญิงน่ารักๆ คนนึง ซึ่งเป็ดสามารถคุยเรื่องนี้กับคุ้งได้สบายๆ ในขณะที่ตอนที่สามนั้นคุ้งเป็นคนพูดเองว่าจะลืมเอิญไปแล้ว ตรงนั้นถ้าเป็ดบอกความจริงทั้งหมดที่ผ่านมากับคุ้งไป คุ้งก็น่าจะใจกว้างพอที่จะยอมรับได้ เพราะจริงๆแล้ว เป็ดนั้นเป็นคนเสียสละให้คุ้งมาก่อนแท้ๆ

“แต่กูชอบเอิญก่อนมึงอีกนะ”

ผมมองว่า 1 ใน 3 ตอนนี้ เป็ดสามารถเลือกตอนไหนที่จะบอกคุ้งก็ได้ทั้งนั้น แล้วเรื่องมันจะไม่ Suck มาจนตอน Climax แบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนเขียนบทอยากให้มันเป็นแบบนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้

ถามว่าทำไมคุ้งถึงโกรธเป็ดขนาดนั้น ผู้หญิงคนเดียวให้เพื่อนไม่ได้หรอ ขนาดเป็ดยังยอมให้คุ้งได้ก่อนเลย

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นๆแล้วว่าคุ้งนั้นเป็นคนที่เปิดเผยมาก โดยเฉพาะกับเป็ด เรียกว่าคุ้งคุยกับเป็ดได้ทุกเรื่อง ดังนั้นอารมณ์ของคุ้งในตอนนั้นคงผสมปนเปกันระหว่าง น้อยใจเป็ด ที่ไม่บอกกับตนก่อนเลย ไม่มีทีท่าจะบอกเลยด้วยซ้ำ ได้รู้ก็เพราะเนื้อเพลงที่เอิญร้อง คุ้งคงรู้สึกว่า มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเป็ด ทำไมเป็ดถึงทำแบบนี้ เป็ดไม่ไว้ใจเขา หรือมองว่าเขาใจแคบหรือถึงไม่บอก

ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม คุ้งเสียความรู้สึกกับเป็ดมาก เพราะคุ้งเชื่อมาตลอดว่าเป็ดไม่ได้ชอบเอิญ (และเป็ดก็ยืนยันกับคุ้งเหมือนเดิมตลอด) ผมเชื่อว่า คุ้งไม่ได้โกรธที่เป็ดชอบผู้หญิงคนเดียวกับตน แต่คุ้งโกรธที่เป็ดไม่ยอมบอกตนมากกว่า

Evolution

SuckSeed-Song

หนังเรื่องนี้มีทั้งหมด 3 ยุค คือตอนยุคเด็ก ยุค ม ปลาย และยุคหลังเรียนจบไปแล้วสามปี

เราได้เห็นพัฒนาการของสิ่งต่างๆ มากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็น

เครื่องเล่นเทป Cassette –> CD Player –> iPod

PlayStation 1 –> PlayStation 2 (ในห้องนอนของคุ้งกับเคย์)

อีกอย่างที่สำคัญมาก และผมเพิ่งสังเกตในการดูรอบที่ 2 นั้นเอง ก็คือ ความสามารถในการเล่นเบสของเป็ด

ตั้งแต่ต้นเรื่องยันการเลี้ยงรุ่นในตอนท้าย เป็ดเล่นเบสแบบ “ดีดสายบนสายเดียว” มาตลอด เนื่องจากเป็ดนั้นมีพื้นฐานทางดนตรีที่แย่มาก ซึ่งคุ้งเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยังอยากเล่นวงดนตรีกับเป็ด จึงให้เป็ดดีดแค่สายบนสายเดียวพอ (นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุ้งเองก็รักเป็ดแค่ไหน เพื่อนมันห่วย แต่ก็ยังอยากเล่นกับมัน)

แต่ว่าในตอน Concert เกษตรแฟร์ตอนจบเรื่อง.. เป็ดเล่นเบสได้ครบทุกสายแล้วครับ!! จริงๆ จะพูดว่าครบทุกสายเลยก็ไม่เต็มปากนัก แต่ผมเห็นเป็ดดีดอย่างน้อย 2 สาย ในคอนเสิร์ตนั้น นั่นก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีที่เพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นการแสดงว่า เป็ด เองก็ได้เกิดใหม่แล้วหลังจากเคลียร์ปัญหากะเพื่อนรักอย่างคุ้งได้ และพร้อมแล้วที่จะหลุดจากการเป็น Loser ในชีวิตของเค้า

นอกจากนี้ การที่เอิญเข้ามาเล่นด้วยในฉากนี้นั้นก็มีความหมายมากๆ เพราะนั่นแสดงว่า คุ้งยอมรับความสัมพันธ์ของเป็ดกับเอิญได้แล้ว และความสัมพันธ์ของ คุ้ง แอนด์ เฟรนส์ นั้นก็กลับมาแนบแน่นครบ 4 คนดังเก่าแล้ว Smile

ถือเป็นฉากจบที่แฝงรายละเอียดซึ่งทำให้ตัวหนังนั้นจบได้อย่างสมบูรณ์ และจบดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ความรู้สึกของคนดูเมื่อดูจบคืออิ่มเอิบด้วยความสุขแบบไร้ข้อกังขาจริงๆ (จบด้วยการเล่นดนตรีด้วยกันคล้ายๆกับ Seasons Change แต่ผมว่าทำได้ดีกว่าอีกหนึ่งช่วงตัวเลย เพราะสรุปได้ทั้ง 2 ประเด็นหลักของเรื่อง คุ้ง-เป็ด-เอิญ และ เป็ด-เอิญ-คุ้ง-Ex)

จบแล้วครับ

ขอบคุณที่อ่าน มีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วย ยินดีน้อมรับคำติชมนะครับ Smile

ปล – ผมชอบฉาก “อีเป็ด” กับ “อีเนี่ย” มากกก ถึงมากที่สุด น่ารักโคตร มุขนี้ >___<

เพิ่มเติมนิดนึง พอดีผมเพิ่งไปเห็น blog ของพี่ khajochi เขียนรวบรวมเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยจากหนังเรื่องนี้มา มีอะไรน่าสนใจมากมายเลยครับ ลองแวะไปดูกันได้ =D http://www.khajochi.com/2011/03/suck-seed_24.html