Me Myself and My way

Archive for the ‘Movies / Music / Lyrics’ Category

เมื่อ SuckSeed ไม่ได้ Suck อย่างที่คิด

SuckseedPoster02

SuckSeed ห่วยขั้นเทพ” เป็นหนังแนว “Coming of Age” ตามสไตล์ถนัดของ GTH อิีกเรื่องหนึ่งหลังจากประสบความสำเร็จแบบล้นหลามจากทั้ง  “แฟนฉัน” “เพื่อนสนิท” และ “Seasons Change” (ผมไม่ได้ดู “ปิดเทอมใหญ่ฯ” จึงขอละไว้ในที่นี้)

หน้าหนังที่โปรโมทออกมาในเทรลเลอร์จะเป็นเรื่องราวของชีวิตวัยรุ่น ม ปลาย มีเรื่องราวของดนตรี และความรัก โดยมีจุดขายตรงที่บรรดาตัวเอกทั้งนั้น “ห่วย” แต่ก็ยังกล้าๆ ที่จะฝันถึงการเข้ารอบสุดท้ายของการประกวดฮอทเวฟ เวทีของนักดนตรี ม ปลาย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด (ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีอยู่ไหม ใครรู้รบกวนช่วยบอกทีครับ Open-mouthed smile)

ความรู้สึกของผมหลังจากได้ดูเทรลเลอร์นั้นต้องบอกตรงๆว่า “เฉยๆ” ออกจะออกแนวคิดว่า คงไม่ไปดู เสียด้วยซ้ำ เพราะหลังๆหนังแนวนี้มันค่อนข้างจะเยอะ ทั้งจาก GTH เองหรือค่ายอื่นๆ อีกทั้งในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แว่บแรกที่เห็นนางเอก น้องแนท ณัฐชา นวลแจ่ม นั้นผมกลับไม่รู้สึก ปิ๊งปั๊ง เธอมากนัก เพราะว่า แนท นั้นไม่ใช่นางเอกที่สวย แบบที่เห้ยย สวยว่ะ สวยสาดดด เหมือน ใบเฟิร์น หรือต่าย หรือ นาถ (ดุจดาว) ซึ่งความคิดนี้ต้องบอกว่าผิดถนัดอย่างสิ้นเชิงเมื่อผมได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้จริงๆในโรง (ถึงสองรอบ)

จุดเปลี่ยนจากความ “เฉยๆ คงไม่ดู” ไปสู่การเสียเงินดูเรื่องนี้รอบแรกนั้นเกิดจาก “กระแส” ใน pantip และแวดวงไซเบอร์ twitter,facebook ล้วนๆเลยครับ เพราะว่า feedback ของหนังนั้นออกมา “ดีมาก” มีการชมกันไม่ขาดสาย ทั้งตัวหนังเอง และตัวนางเอก Smile with tongue out รวมไปถึงดารานำชายทั้งสามคนด้วย

[SPOILER WARNING – โคตร SPOIL ละเอียดยิบ อย่าอ่านถ้ายังไม่ได้ดูครับ]

15 นาทีแรก

A10385914-7

จั่วหัวให้เท่ๆไปงั้น ผมไม่รู้หรอกว่าจริงๆมัน 15 นาทีหรือมากกว่า สำหรับเรื่องราว “Prologue” วัยเด็กของเรื่องนี้ มันเป็นช่วงเวลาเปิดตัวที่ผมค่อนข้างจะ “ไม่อิน” และรู้สึกเฝือๆ พอสมควร นั่นก็เพราะการแสดงของ ดาราเด็ก นั้นยังดูเป็น ดาราเด็ก อยู่มาก ความเป็นธรรมชาติและอะไรหลายๆอย่างมันไม่ “เนียน” เหมือนตอนนั่งดู “แฟนฉัน” ในขณะเดียวกันหลายๆฉาก ก็ให้อารมณ์เหมือน “แฟนฉัน” remake (เช่น ฉากที่แม่ขึ้นมาว่าเป็ดเรื่องใส่รองเท้านอน ไม่ทำการบ้าน บลาๆ) ส่วนการคัดเลือก “หน้าตา” ของดาราเด็กนั้น ต้องบอกว่า GTH ทำได้น่าประทับใจมาก เป็ด ในตอนเด็ก ยิ้มให้อารมณ์เหมือนเป็ดในตอนโตมากๆ เช่นเดียวกันกับน้องเด็กผู้หญิงที่แสดงเป็นเอิญ ก็มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายๆกันอยู่

ผมเข้าใจว่า Prologue นี้ มีหน้าที่ของมันคือการตอกย้ำ “ของแสลง” ในใจของคนแอบรักทุกคนว่า ถ้าความแตกไปแล้ว เค้าไม่ชอบเรามันจะ Bad End แค่ไหน (โดนเพื่อนล้อ โดนสาวเจ้าต่อว่า แถมซ้ำยังทำให้สาวเจ้าร้องไห้เสียอีก)

นอกจากนี้อีก point นึงก็คงเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่าง คุ้ง กับ เป็ด ว่าสนิทสนมและรักกันมากขนาดไหน ในฉากที่เป็ดโดนล้อเรื่องร้องเพลง แล้วคุ้งเอากระดาษปาหัวเพื่อนแก้แค้นแทนซะเลย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่จะ reflect ถึงเหตุผลหลายๆอย่างในตอน climax ของเรื่อง

Coming of Ages

Red Eyes Black Dragon

พอเรื่องราวเริ่มเข้ามาสู่ตอนโต Coming of Ages attack ก็เริ่มพรั่งพรูมากขึ้น หลังจากปล่อยหมัดแย๊ปจากเพลง “อยากจะเห็นหน้าคุณ” และเอา พี่ป๊อด มาร้อง “ก่อน” เรียกน้ำย่อยกันไปแล้ว มาในช่วงนี้หนังเริ่มที่จะใส่ “ของเล่น” สมัยเรียนทั้งหลายแหล่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น “การ์ดยูกิ” (ซึ่งผมถือว่า หลงยุค พอสมควร เพราะว่า timeline ของหนังช่วงนี้มันคือปี 2550 ซึ่งการ์ดยูกิ มันโคตรจะ out ไปนานแล้ว แต่ก็พอยอมรับได้) ผมคิดว่า Blue Eyes White Dragon และ Red Eyes Black Dragon นั้นประสบความสำเร็จเรียกรอยยิ้มจากคนดูได้มากแน่ๆ

ถัดจากการ์ดยูกิก็มีการรำลึกถึงลูกดิ่ง YoYo, Roller Blade และเกมส์ Dance Dance Revolution ภาคเกมส์ตู้ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในความทรงจำของเด็กวัยรุ่นที่เกิดในสมัย 252x และอาจจะรวมถึง 253x ช่วงต้นๆ ด้วย (ผมเข้าใจว่าลุ่นหลังจาก 2535 นั้นน่าจะแทบไม่ทันช่วง Roller Blade เฟื่องฟูกันแล้ว) ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ GTH จงใจ เจาะกลุ่มเป้าหมาย (ซึ่งก็คือพวกเรา) อย่างเต็มๆ เรียกว่าถ้าชวน พ่อแม่ลุงป้าน้าอา ไปดูเรื่องนี้ ท่านก็คงได้แค่ หึหึ ในใจ แล้วถามว่า อะไรของมันว๊ะ!

เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังแสดงตัวตนของ คุ้ง ออกมาอีกหน่อย คือความหุนหันพลันแล่น ทำอะไรตามอารมณ์ รักง่าย หน่ายไว ด้วย

ปิ๊กกีตาร์ Blue Eyes นี่อยากได้จริงๆ มีคนทำขายไหม Open-mouthed smile เจ๋งกว่าปิ๊กที่แถมจากการซื้อตั๋วล่วงหน้าจมเลย

กลอน

ถือเป็น 1 ฉากใหญ่ที่น่ารักอันดับต้นๆของเรื่องนี้ ในตอนที่เป็ดสะกดรอยตาม Ex เพื่อดู “การจีบสาว” และแต่งมันออกมาเป็นเพลงกลอน เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังเป็นช่วงพีคที่สุดของความสัมพันธ์ของตัวแสดงนำทั้งสี่คน เป็ด-คุ้ง-Ex-เอิญ อีกด้วย

มีสองฉากในช่วงนี้ที่เป็นความประทับใจส่วนตัวของผม นั่นก็คือฉากห้องซ้อมดนตรี และฉากชกมวย ซึ่งผม “เข้าใจว่า” ทั้งสองฉากนั้นถ่ายทำที่ รร.ผะดุงศิษย์พิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าช่วงประถมของผม ต้องยอมรับว่าตอนดูรอบแรกนั้นผม “ไม่ได้เอะใจเลย” แต่พอมีเพื่อนเก่ามาบอกทาง facebook จึงได้ตั้งใจสังเกตในการไปดูรอบที่สอง แล้วก็คิดว่า น่าจะใช่ เพราะเมื่อกล้องถ่ายไปที่ประตู และclose ไปที่พื้น มันดูคุ้นๆอยู่ ประกอบกับ รร.ผะดุงศิษย์พิทยา นั้นเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเรื่อง “มวยสากลสมัครเล่น” อยู่แล้ว ผมจึงคิด(เอาเอง) ว่าฉากต่อยมวยก็น่าจะถ่ายที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน (คงมีโรงเรียนจำนวนไม่มากนัก ที่มี สนามมวย อยู่ข้างๆโรงอาหาร) อ้อ รร.ผม ยังมีการจัดการแข่งขัน มวยสากลสมัครเล่น “นวมทอง” ทุกปีอีกด้วยนะ (ไม่รู้สมัยนี้ยังมีหรือเปล่า)

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข้างต้นนี้เป็นเพียง การเข้าใจไปเอง ของผมคนเดียวล้วนๆ จะยืนยังหรืออ้างอิงยังไงก็รอดูเฉลยใน “Disc2” ของ DVD ของเรื่องนี้ละกันครับ Open-mouthed smile (คิดเอาเองอีกล่ะ ว่าต้องมีบอก)

ดนตรี

big5

“เพลงมันก็มีอยู่สองอย่างนั่นละ ถ้ามันเร็ว มันก็ Rock ถ้ามันช้า มันก็เป็นเพลงรัก” เป็นประโยคที่ผมชอบมาก และผมคิดว่า Grammy นั้น เสียดสีวงการของตัวเองอยู่ด้วย เพราะเพลงในตลาดหลักบ้านเรานั้น “มันเป็นแบบนี้จริงๆ” แล้วผมก็ชอบที่มีเด็กอีกคนมาขัดว่า “แล้วลูกทุ่งล่ะ สามช่า ไทยเดิม ล่ะ” มันเหมือนเป็นการเสียดสีพวกเรากลายๆ ว่า ฟังแต่ “Rock” กะ “รัก” จนลืมไปแล้วรึเปล่าว่ามีเพลงแบบอื่นๆอยู่ด้วย

Seasons Change เลือกใช้ดนตรี Classic ในการประกอบอารมณ์ จังหวะ และช่วงเวลาของเรื่อง SuckSeed ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ในแบบฉบับของดนตรี “Rock” โดย Rocker ระดับแนวหน้าของประเทศไทยในช่วง10-15 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นครบ(และบางวงก็โผล่มาเพียงชื่อ หรือส่งเพลงมาเป็นตัวแทน) ทั้ง ModernDog, Paradox, BlackHead, Big Ass, Kala, Clash, LOSO, บางแก้ว, BodySlam, บร๊ะเจ้าโจ๊ก SoCool อีกทั้งรุ่นเก๋าอย่าง อัสนี-วสันต์ ก็มาด้วย (น่าเสียดายที่ด้วยข้อจำกัดของ “สังกัด” นั้นทำให้เราอดเห็น ไอน้ำ หรือ Hyper ในหนังเรื่องนี้ด้วย)

การนำนักร้องจริงๆ มาประกอบฉากนั้น “ได้อารมณ์”เอามากๆ และผมชื่นชมคนคิดฉากพวกนี้จริงๆ มันทำให้หนังเรื่องนี้มีจุดเด่นที่ชัดเจนมาก เวลาหลับตาแล้วย้อนกลับไปนึกถึง ใครจะลืมฉากพี่แด๊กกระโดดน้ำ พี่ปูโดนไฟเผา หรือบร๊ะเจ้าโจ๊กบนรถไฟกันได้ละ จริงไหม

(ผมชอบการปรากฎตัวของ SoCool บนรถไฟมาก เป็นฉากที่ผมคิดว่า SoCool เท่ว่ะ แบบจริงจัง เป็นครั้งแรก Open-mouthed smile)

ส่วนเพลง Original Soundtrack อย่าง “ทุ้มในใจ” นั้นผมกลับไม่ค่อยชอบเท่าไร สำหรับเรื่องนี้เพลงที่ติดหูและชอบมาก น่าจะเป็นเพลง “เพลงที่ฉันไม่ได้แต่ง” มากกว่า เพราะเนื้อร้องและทำนองมันเหมาะสำหรับหนังเรื่องนี้มากๆ ในขณะเดียวกันเพลง “ซักซี้ดนึง” ก็เป็นเพลงที่มันส์ อย่างที่เอิญว่าไว้จริงๆ ยิ่งได้ฟังเวอร์ชัน Paradox ใน OST album ก็ยิ่งรู้สึกชอบเพลงนี้มากขึ้น

เสียงของ แนท ณัฐชา เพราะ น่าฟังมาก น่าเสียดายที่ OST album นั้นไม่มีเพลงที่ทำขึ้นใหม่ (เหมือนสมัย Seasons Change) เลย แต่ก็ยังแอบหวังว่าจะได้ฟังเพลงต่อๆไปของน้องเค้าอีก เหมือนอย่างที่ หนูนา ทำมาแล้ว Open-mouthed smile (เสียงหนูนา ผมก็ชอบมาก ถึงจะไม่ได้รู้สึกประทับใจกับ กวน มึน โฮ ก็เถอะ)

(ผมฟังเพลง “เพลงที่ฉันไม่ได้แต่ง” เวอร์ชัน Arena ซ้ำเป็น 10 รอบหลังจากที่ดูหนังรอบแรก)

THE ARENA

เราได้เห็นชื่อวงตลกๆในเรื่องนี้ อย่าง“คอนโดมิเนียมคุณลุง” ซึ่งล้อ “อพาร์ทเมนท์คุณป้า” อย่างไม่ปิดบังแต่ถ้าเราลองมามองดูที่วงหลักอย่าง Arena นั้นมันก็มีความหมายแฝงในตัวมันเองเหมือนกัน (ส่วนวงของพระเอก อย่าง SuckSeed นั้นมีคำอธิบายชื่อวงพร้อมสรรพอยู่แล้วในตัวเรื่อง)

ทำไมถึง The Arena?

อันนี้เป็นความเข้าใจ(ไปเอง) อีกแล้ว เพราะว่า 2 ใน 4 นักดนตรีในวงนี้ มีชื่อ “ล้อ” กับสนามฟุตบอลใหญ่ในประเทศเรานั่นเองครับ ซึ่งก็คือ “ราช ฉมัง” (สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก) และ “โดม ฮันเดอร์” หรือ ธันเดอร์โดม ยามาฮ่า สเตเดี้ยม ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด) ในขณะที่ผมหาคำอธิบายให้อีก 2 คนในวงไม่ได้ เพราะ “เค โอวว” กะอีกคนที่โดนไล่ออกจากวง (จำชื่อไม่ได้) นั้นดูจะไม่สอดคล้องกับสนามกีฬาใดๆเลย ถ้าใครรู้ก็บอกกล่าวกันได้นะครับ Open-mouthed smile

นางเอก

SuckSeed-Natt

อย่างที่ผมบอกไปในตอนแรกว่า น้องแนท นั้นไม่ใช่นางเอกประเภท สวยเวอร์ๆ หรือ สวยนางฟ้า เพราะว่าอย่างแรกเลยคือเธอ “ไม่ขาว” (ฮา) ตามสมัยนิยมสักเท่าไร ซึ่งนั่นเป็นความจริงถ้าเราตัดสินจากเพียง ภาพนิ่ง หรือจากเทรลเลอร์สั้นๆ

เมื่ออยู่ในตัวหนัง ความคิดนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะบทที่เธอได้ และสิ่งที่เธอแสดงออกมานั้น “ส่งเสริมกันได้อย่างไม่มีที่ติ” รอยยิ้มที่ทำเอาหลายคนใจละลายในฉาก “คิดเองบ้างดิ” คงไม่ใช่สิ่งที่ความสวยอย่างเดียวจะทำได้ ซึ่งรอยยิ้มนี้เองที่เป็น “ไม้ตาย” และ “จุดเด่น” ที่สุดของนางเอกหน้าใหม่คนนี้ ยิ้มแบบไม่เห็นฟัน ยิ้มแบบอมยิ้ม ยิ้มแบบเศร้าๆ ยิ้มทั้งน้ำตา โอย จะน่ารักไปไหนคร้าบบ

ตรงจุดนี้ผมมองว่าต้องให้เครดิตกับ ผู้กำกับ เต็มๆ ที่เลือกให้นักแสดงใช้ “รอยยิ้ม” ที่เหมาะสมกับตนได้อย่างดีที่สุด เราเห็นนางเอกสวยๆมากมาย ยิ้ม หรือ ร้องไห้ แล้ว ไม่สวย ในละครหลังข่าวดาษดื่นจนเสียของกันจนชินตา แต่ผู้กำกับของ GTH utilize นางเอกของเค้าได้ดีที่สุดจริงๆ Smile

ไม่ว่าหนังจะแป้กหรือไม่ GTH’s Angels (ตั้งเอง เอามาแข่งกะ Disney’s Princesses) ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริงๆ Smile

Flaw นิดเดียวก็คือพอเจอฉาก close up หน้าเข้าไป ตาของแนทดูจะช้ำๆ ไม่สวยสักเท่าไร แต่ก็โอเคล๊ะ แค่นี้ก็ละลายกันละ จริงไหมคับ Smile with tongue out

พระเอก

SuckSeed-Kao

เป็นความจริงที่ยากจะยอมรับ แต่ผมพบว่า พระเอก ในเรื่องนี้ มีสเน่ห์มาก (น้องเค้าชื่อ เก้า ใช่ปะ?) การแสดงสีหน้า และรอยยิ้มซื่อๆ นั้นถือว่าทำได้ดีมากๆ ทำเอาผมนึกถึง บอล ของ Seasons Change ซึ่งก็เป็นพระเอกคนที่ผมชอบคนหนึ่ง มีหนังไม่มากนักที่จะทำให้ผมต้องเลือกมองสีหน้าพระเอกหรือหน้านางเอก(ฮา) แต่เรื่องนี้คือหนึ่งในนั้นครับ

คุ้ง แอนด์ เฟรนส์

Suckseed02

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แปลก เมื่อพระเอก และนางเอก กลับไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเรื่องเลย คนที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปมากที่สุด กลับเป็นเพื่อนสนิทของพระเอกอย่าง คุ้ง นั่นเอง

คุ้งเป็นคนที่มีอิทธิพลกับชีวิตของเป็ดมาก รวมไปถึงไว้ใจเป็ดมากๆ จะทำอะไรก็ทำกับเป็ด ชอบสาวคนไหนก็มาบอกเป็ดก่อน อกหักก็มาหาเป็ด (แต่พออินเลิฟเมิงปลีกตัวออกไปก่อนเลยนะเพื่อน ฮาๆ) เรียกว่าทั้งชีวิตของคุ้งก็มีแต่เป็ด และเป็ดมันก็มีแต่คุ้ง และมันก็ยังคงเป็นแบบนั้นถึงแม้ว่าจะมี Ex เข้ามาร่วมก๊วนในภายหลัง โดยเราจะสังเกตว่า Ex ไม่มีบทบาทในการช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างทั้งสองคนใน Climax ของเรื่องเลย ถ้าเราไม่มองว่าผู้กำกับ “จงใจจนเกินไป” ให้มันยืดเยื้อไปเคลียร์กันเองในสามปีให้หลัง เราก็จะมองแบบเข้าข้างผู้กำกับ ได้ว่า เพราะ Ex นั้นอยู่ในวงนอกระหว่างเป็ดกับคุ้ง อีกที จึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนได้มากนักในเรื่องนี้

นี่เป็นจุดหนึ่งที่ เอิญ ก็ทราบดีมาตลอด ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มคบกัน จนกระทั่งถึงวันที่ต้องเลิกกัน และเมื่อกลับมา “เหมือนเดิม” อีกครั้งหนึ่ง

เอิญ เป็นผู้หญิงที่หาไม่ได้ได้ยากในชีวิตจริง ผู้หญิงที่เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนกับเพื่อน ของผู้ชาย เข้าใจว่าทำไมเป็ดถึงต้องเลิกกับตน เพื่ออะไรสักอย่างที่เป็ดก็บอกไม่ถูก (ผมก็ไม่เข้าใจมัน หงุดหงิดมากตอนนี้ 55)

เอิญ เป็นผู้หญิงที่ไม่พูดมาก แต่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง มีจริตที่งดงามและพอดีในการกล้าที่จะพูดความในใจของตัวเอง เรียกว่าเป็น Character ที่ Perfect จนเกินจริงที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้

Climax

Climax ของเรื่องนี้นั้นเกิดมาจากความ Suck ของพระเอกอย่าง เป็ด คนเดียวล้วนๆ ถ้าเราพิจารณาจากว่าเป็ดมีโอกาสถึง 3 ครั้ง ในการที่จะบอกให้ คุ้ง รู้ว่าตนชอบเอิญ โดยที่คุ้งจะ ไม่รู้สึกโกรธ หรือแม้แต่ไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว แต่เป็ดเลือกที่จะ “ไม่ทำ” มันทั้ง 3 ครั้ง

ครั้งแรกคือที่สนามบินในตอนเด็ก

สองคือคุ้งโผล่เข้ามาบอกว่า มึงชอบเอิญหรอ ก่อนที่คุ้งจะบอกว่า ตนนั้นชอบเอิญ

ครั้งสุดท้ายคือ หน้าเวทีรอบสุดท้ายฮอทเวฟที่กรุงเทพ หลังจากคุ้งอกหักเรียบร้อย

ผมมองว่าเป็ดปากแข็งอย่างไร้เหตุผล จนดูเหมือนคนเขียนบทจงใจจะให้มันเป็นแบบนี้จนเกินไป เพราะถ้าเราพิจารณาจากความสนิทของคุ้งและเป็ด มันแทบจะเป็นไปไมได้เลยที่สองคนนี้จะไม่คุยกันว่า “เห้ย คุ้ง เอิญน่ารักว่ะ” หรืออะไรแบบนี้ ในตอนแรกๆ คุ้งไม่ได้ชอบอะไรเอิญมากมายไปกว่า ผู้หญิงน่ารักๆ คนนึง ซึ่งเป็ดสามารถคุยเรื่องนี้กับคุ้งได้สบายๆ ในขณะที่ตอนที่สามนั้นคุ้งเป็นคนพูดเองว่าจะลืมเอิญไปแล้ว ตรงนั้นถ้าเป็ดบอกความจริงทั้งหมดที่ผ่านมากับคุ้งไป คุ้งก็น่าจะใจกว้างพอที่จะยอมรับได้ เพราะจริงๆแล้ว เป็ดนั้นเป็นคนเสียสละให้คุ้งมาก่อนแท้ๆ

“แต่กูชอบเอิญก่อนมึงอีกนะ”

ผมมองว่า 1 ใน 3 ตอนนี้ เป็ดสามารถเลือกตอนไหนที่จะบอกคุ้งก็ได้ทั้งนั้น แล้วเรื่องมันจะไม่ Suck มาจนตอน Climax แบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ คนเขียนบทอยากให้มันเป็นแบบนี้ มันก็ต้องเป็นแบบนี้

ถามว่าทำไมคุ้งถึงโกรธเป็ดขนาดนั้น ผู้หญิงคนเดียวให้เพื่อนไม่ได้หรอ ขนาดเป็ดยังยอมให้คุ้งได้ก่อนเลย

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นๆแล้วว่าคุ้งนั้นเป็นคนที่เปิดเผยมาก โดยเฉพาะกับเป็ด เรียกว่าคุ้งคุยกับเป็ดได้ทุกเรื่อง ดังนั้นอารมณ์ของคุ้งในตอนนั้นคงผสมปนเปกันระหว่าง น้อยใจเป็ด ที่ไม่บอกกับตนก่อนเลย ไม่มีทีท่าจะบอกเลยด้วยซ้ำ ได้รู้ก็เพราะเนื้อเพลงที่เอิญร้อง คุ้งคงรู้สึกว่า มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเป็ด ทำไมเป็ดถึงทำแบบนี้ เป็ดไม่ไว้ใจเขา หรือมองว่าเขาใจแคบหรือถึงไม่บอก

ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม คุ้งเสียความรู้สึกกับเป็ดมาก เพราะคุ้งเชื่อมาตลอดว่าเป็ดไม่ได้ชอบเอิญ (และเป็ดก็ยืนยันกับคุ้งเหมือนเดิมตลอด) ผมเชื่อว่า คุ้งไม่ได้โกรธที่เป็ดชอบผู้หญิงคนเดียวกับตน แต่คุ้งโกรธที่เป็ดไม่ยอมบอกตนมากกว่า

Evolution

SuckSeed-Song

หนังเรื่องนี้มีทั้งหมด 3 ยุค คือตอนยุคเด็ก ยุค ม ปลาย และยุคหลังเรียนจบไปแล้วสามปี

เราได้เห็นพัฒนาการของสิ่งต่างๆ มากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็น

เครื่องเล่นเทป Cassette –> CD Player –> iPod

PlayStation 1 –> PlayStation 2 (ในห้องนอนของคุ้งกับเคย์)

อีกอย่างที่สำคัญมาก และผมเพิ่งสังเกตในการดูรอบที่ 2 นั้นเอง ก็คือ ความสามารถในการเล่นเบสของเป็ด

ตั้งแต่ต้นเรื่องยันการเลี้ยงรุ่นในตอนท้าย เป็ดเล่นเบสแบบ “ดีดสายบนสายเดียว” มาตลอด เนื่องจากเป็ดนั้นมีพื้นฐานทางดนตรีที่แย่มาก ซึ่งคุ้งเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็ยังอยากเล่นวงดนตรีกับเป็ด จึงให้เป็ดดีดแค่สายบนสายเดียวพอ (นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุ้งเองก็รักเป็ดแค่ไหน เพื่อนมันห่วย แต่ก็ยังอยากเล่นกับมัน)

แต่ว่าในตอน Concert เกษตรแฟร์ตอนจบเรื่อง.. เป็ดเล่นเบสได้ครบทุกสายแล้วครับ!! จริงๆ จะพูดว่าครบทุกสายเลยก็ไม่เต็มปากนัก แต่ผมเห็นเป็ดดีดอย่างน้อย 2 สาย ในคอนเสิร์ตนั้น นั่นก็แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางดนตรีที่เพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นการแสดงว่า เป็ด เองก็ได้เกิดใหม่แล้วหลังจากเคลียร์ปัญหากะเพื่อนรักอย่างคุ้งได้ และพร้อมแล้วที่จะหลุดจากการเป็น Loser ในชีวิตของเค้า

นอกจากนี้ การที่เอิญเข้ามาเล่นด้วยในฉากนี้นั้นก็มีความหมายมากๆ เพราะนั่นแสดงว่า คุ้งยอมรับความสัมพันธ์ของเป็ดกับเอิญได้แล้ว และความสัมพันธ์ของ คุ้ง แอนด์ เฟรนส์ นั้นก็กลับมาแนบแน่นครบ 4 คนดังเก่าแล้ว Smile

ถือเป็นฉากจบที่แฝงรายละเอียดซึ่งทำให้ตัวหนังนั้นจบได้อย่างสมบูรณ์ และจบดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ความรู้สึกของคนดูเมื่อดูจบคืออิ่มเอิบด้วยความสุขแบบไร้ข้อกังขาจริงๆ (จบด้วยการเล่นดนตรีด้วยกันคล้ายๆกับ Seasons Change แต่ผมว่าทำได้ดีกว่าอีกหนึ่งช่วงตัวเลย เพราะสรุปได้ทั้ง 2 ประเด็นหลักของเรื่อง คุ้ง-เป็ด-เอิญ และ เป็ด-เอิญ-คุ้ง-Ex)

จบแล้วครับ

ขอบคุณที่อ่าน มีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยด้วย ยินดีน้อมรับคำติชมนะครับ Smile

ปล – ผมชอบฉาก “อีเป็ด” กับ “อีเนี่ย” มากกก ถึงมากที่สุด น่ารักโคตร มุขนี้ >___<

เพิ่มเติมนิดนึง พอดีผมเพิ่งไปเห็น blog ของพี่ khajochi เขียนรวบรวมเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยจากหนังเรื่องนี้มา มีอะไรน่าสนใจมากมายเลยครับ ลองแวะไปดูกันได้ =D http://www.khajochi.com/2011/03/suck-seed_24.html

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า… “หนัง(ไทย)”

A9608050-172

แรงบันดาลใจในการเขียน blog นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดินออกจากโรง หลังจาก “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” จบลง

ผมเป็นคนที่ไม่ได้เข้าโรงหนังบ่อยนัก ยิ่งหลังจากช่วงที่ทำงานมาแล้วนี่ก็น้อยลงเยอะ เรียกว่าในช่วง 2 ปีหลังสุดนี้ น่าจะยังไม่ถึง 10 ครั้งเสียด้วยซ้ำ

ผมเป็นคนชอบดูหนังแนว Feel good ซึ่งแนวนี้ก็แน่นอนว่า GTH เข้าวินอย่างไม่ต้องสงสัย.. แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นแฟนบอยของค่ายนี้ เพราะบางเรื่องผมก็ไม่ดูแม้มีแผ่นออกมาให้ดูแล้ว

0415แฟนฉัน

ผมประทับใจกับ แฟนฉัน และหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยเรื่องที่สองต่อจาก สุริโยไท ที่ผมดูมากกว่า 2 รอบ

1176659862

ผมชอบ เพื่อนสนิท แต่มันก็ไม่ได้โดนอะไรมากนัก ดากานดา ไม่ใช่ผู้หญิงในฝันสำหรับผม เรื่องนี้ผมประทับใจ โอปอล มากกว่าซะด้วยซ้ำ

 

 blog_head2

ผมคลั่งใคล้ Seasons Change และนี่คือหนังที่ผมดูซ้ำมากที่สุดในชีวิต 8 รอบ.. (หรือ 9 นี่แหละ ไม่แน่ใจ) รวมถึงเป็นเรื่องเดียวในชีวิตที่ซื้อแผ่น Limited Edition ไว้ครอบครองimages

ผมชอบ สายลับจับบ้านเล็ก นี่เป็นอีกครั้งที่ GTH แสดงจุดยืน Feel good ได้ดีมากๆ แต่มานั่งคิดดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน ว่าผมไม่เคยดูซ้ำแม้แต่รอบเดียว (แต่คิดถึงแล้วก็อยากดูนะ)

ผม ไม่เคยดู ปิดเทอมใหญ่ฯ ส่วน Final Score นั้นไม่ตอบโจทย์สำหรับผม สิ่งดีๆที่ได้จากเรื่องนี้สำหรับผมคือ “คิดถึงโรงเรียน” หนังเรื่องนี้สอบตกเรื่องการพาผมกลับไปสู่ชีวิตช่วงเอนทรานซ์อย่างสิ้นเชิง และหลายๆอย่างสำหรับผม มันไม่ “สด” อย่างที่หนังพยายามโปรโมท

c1247828776mv2H ผม ผิดหวังอย่างร้ายแรง กับ หนีตามกาลิเลโอ.. ที่ผมหวังไว้เยอะมาก ตั้งแต่เห็นชื่อผู้กำกับ (นิธิวัฒน์ ธราธร – ผู้กำกับ Seasons Change) เรื่องนี้ผมรู้สึกว่า ตัวหนังมัน “หลงทาง” ไปหน่อย.. จะสุข ก็สุขไม่สุด ดราม่ามันเข้ามาเยอะและหนักเกินไป ตั้งแต่กลางเรื่องถึงปลายเรื่อง ต้นเรื่องก็ใช่ว่าจะไม่ดราม่านะ.. มันเลยเป็นส่วนผสมที่ ไม่ลงตัว เอาซะเลย สำหรับหนังที่ควรจะ Feel good เรื่องนี้

รถไฟฟ้า มาหานะเธอ เป็นเรื่องที่ดี น่ารักตามแบบฉบับ GTH อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ช่วงท้ายเรื่องมันค่อนข้างจะขัดใจ ไปซักหน่อย

นอกสาย GTH แล้วผมยังชอบหนังไทย แนว comedy อีกหลายเรื่อง หนังของ หม่ำ จ๊กม๊ก ที่มักจะถูกตีค่าต่ำจากนักวิจารณ์ (แต่ทำเงินสูง) ผมก็ชอบนะ หนังหม่ำมัน “ไม่ดราม่า”ดี ดูแล้วสบายหัว

หนังอย่าง มะ..หมา 4 ขาครับ เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจมาก ถึงตัวหนังจะไม่ได้ดีเลิศเลอ แต่ก็เป็นหนังที่ ”ดูแล้วมีความสุข”(เขียนถึงจุดนี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนชอบดูหนังไทยมากกว่าหนังต่างประเทศอีกแฮะ..)

87712-attachment First Love สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก

สำหรับในช่วงนี้ กระแสของหนังไทยนั้นกลับมาแรงอีกครั้งโดยมีตัวชูโรงคือ กวน มึน โฮ ของ GTH เจ้าพ่อ Feel good เจ้าเก่า กับ สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก หนัง romantic comedy แบบแท้ๆเรื่องแรกรึเปล่าก็ไม่รู้ของ WorkPoint 

บอกตรงๆว่า ตอนแรกผมอยากจะไปดู กวน มึน โฮ และแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับ สิ่งเล็กๆ เลย จนกระทั่งคนรอบตัว ทั้งคุณเพื่อน @phanitaw คุณพี่ @artkrub และคุณแฟน.. (@.. เอ้ย ไม่เล่น twitter) มาเป่าหูให้ฟังว่า เรื่องนี้แหละ เทพ เมพขิงๆ กว่า กวน มึน โฮ หลายเท่านัก

สุดท้าย ก็เลยมาจบที่ สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ณ พารากอน ซีนิเพลกซ์ จนได้ (ที่ซึ่งพนักงานขายตั๋ว และป๊อปคอร์นหน้าหงิกเป็นตูด.. พี่คร้าบ ผมไปปล้นเงินพ่อพี่มาซื้อตั๋ว/ป๊อปคอร์นหรอค้าบ – -“)

Little-Thing-Called-Love1

เข้าโรงไปไม่นาน ก็พบว่าหนังดึงดูดตัวผมเข้าไปมีอารมณ์ร่วมได้เร็วมาก (ปกติผมจะเป็นพวกสมาธิสั้น หนังอย่าง avatar ยังต้องใช้เวลาราวๆ 15-20 นาทีกว่าผมจะมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน) หนังพยายามสะท้อน “รักแรก” ในวัยเรียนออกมาในมุมของฝ่ายหญิง ผู้ชายอย่างผมจึงไม่ได้ถึงกับ “โดน” มากนัก อีกทั้งประสบการณ์ในการอยู่ร่วมโรงเรียนเดี่ยวกับคนที่แอบชอบนั้นก็ไม่มีเอาซะเลย (ผมเรียน รร ชายล้วน สมัย มัธยม) แต่หลายๆสิ่งในหนัง ก็ต้องยอมรับว่า คนเขียนบท “เข้าถึง” รักใสๆแบบ puppy love ช่วงมัธยมต้น อย่างแท้จริง การแอบรัก การพยายามทำให้คนที่เราชอบประทับใจ การแอบชอบคนที่เค้าชอบคนอื่นอยู่ ความเจ็บปวดของคนที่เป็นได้เพียง“สะพาน” มิตรภาพที่่ต้องเลือก ระหว่าง“เพื่อน”และ“คนที่รัก” ซึ่งมักจะจบลงด้วยปัญหากับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเราไม่ได้เลือก ฯลฯ

อีกจุดหนึ่งที่ต้องชมของเรื่องนี้คือการเลือกใช้เพลงประกอบได้เข้ากับบรรยากาศ และถูกที่ถูกเวลา จุดเด่นที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือช่วงเวลาของเพลง “สักวันหนึ่ง” และเพลง “เพราะใจ” นั่นเอง 

 

A9608050-4อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ นางเอก ซึ่งถึงกับทำให้กระแสของ มาริโอ นั้นถูกกลืนไปมากทีเดียว เรื่องความน่ารักคงไม่ต้องพูดกัน เพราะ “น่ารักโคตรๆ” อยู่แล้ว แต่ฝีไม้ลายมือของ “น้ำ” หรือ “ใบเฟิร์น” นั้นต้องบอกว่า สุดยอด.. ไม่น่าเชื่อมากๆ ว่านี่จะเป็นนางเอกหน้าใหม่ ฉากร้องไห้ที่ต้องใช้อารมณ์ และเป็นฉากที่เป็นจุดพีคของเรื่อง “ใบเฟิร์น” ทำได้อย่างเยี่ยมยอดและไร้ที่ติ มันเป็นอารมณ์ของคนอกหักที่“ใช่” จริงๆ

“ใบเฟิร์น” เข้าถึงอารมณ์ของคนแอบรัก(ที่ผิดหวัง)ได้อย่างยอดเยี่ยม อย่างที่ดาราอาชีพหลายๆคนยังทำไม่ได้ขนาดนี้ ส่วนฉากอื่นๆนั้นก็ทำได้ดี ความสดใสของวัยรุ่นตอนต้นเรื่อยมาจนถึงกลาง ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึกขัด หรือความรู้สึกเฟคเลยแม้แต่น้อย

 

ถ้าให้เปรียบเทียบกับหนังในแนวเดียวกันอย่าง Seasons Change ซึ่งเป็นเรื่องที่ “ขึ้นหิ้ง” ไปแล้วสำหรับผม ก็ต้องบอกว่า อยู่ในระดับที่ทัดเทียมกัน ตัวเอกอย่าง“น้ำ” ก็สั่นคลอนบัลลังก์ของ “ดุจดาว” (ที่ถึงแม้ว่าฝีมือในด้านการแสดงนั้น ด้อยกว่า “อ้อม” อย่างชัดเจน แต่ก็นางในฝันอ่ะ.. ใครจะทำไม :D) ได้อย่างน่ากลัว

images (1)

Seasons Change มีบรรยากาศของ อาดาจิ มิซึรุ อยู่อย่างมากมาย ในขณะที่ สิ่งเล็กๆ นั้นไม่ได้มีมากเท่า (แต่ก็ยังพบเห็นได้) จุดแข็งของอาดาจิก็คือ เรื่องของจังหวะและโอกาส การเล่าเรื่องด้วยภาพ การเว้นระยะของความรู้สึกให้คนดูคิดต่อกันไปเอง (ฉากอ้อมซ้อนรถจักรยานของป้อม และ ฉากที่อ้อมให้ปากกาไฮไลท์กับป้อมใน Seasons Change) ในขณะที่ สิ่งเล็กๆก็มีซีนที่ให้ความรู้สึกคล้ายๆกันนี้ในตอน นิทานปลาหมึก นอกจากนี้ในตอนใกล้จบ บนโต๊ะของ”น้ำ” นั้นก็มีหนังสือของ อาดาจิ วางอยู่ด้วย แต่เห็นไม่ชัดว่าเรื่องอะไร (อันนี้คุณแฟนเป็นคนสังเกตุเห็น)

 

60_ บทบาทของตัวประกอบก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันในงานของอาดาจิ อาจารย์จิทาโร่และอาจารย์โรซี่ ของ Seasons Change กับ ครูอิน ของ สิ่งเล็กๆ นั้นแทบจะถอดพิมพ์กันมา คือเป็นคนsupport ตัวเอก และเป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะ ซึ่งครูอินนั้นมีสไตล์ที่ต่างออกไปจากสองคนแรก ส่วนหนึ่งเพราะเลือกใช้ ตุ๊กกี้ เป็นคนแสดง ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบ “ตลกน่ารัก” แบบ อ.จิทาโร่และโรซี่ มากกว่า “ตลกโปกฮา” แบบ ครูอิน (และตัวประกอบของ อาดาจิ แท้ๆนั้นก็จะเป็นแบบแรกมากกว่า) อย่างไรก็ดี ผมว่าตุ๊กกี้ก็ทำได้เยี่ยมนะ สำหรับบทบาทของเธอ

ถึงแม้หนังทั้งสองเรื่องจะให้ความประทับใจพอๆกัน แต่ผมยังคงรู้สึกว่า Seasons Change นั้นทำให้คนดูโหยหาอยากดูซ้ำ ได้มากกว่า สิ่งเล็กๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพล็อตของ Seasons Change นั้นเนียนกว่าสิ่งเล็กๆอยู่พอสมควร ส่วนดราม่าของ Seasons Change นั้นละมุนละม่อมกว่า และ Seasons Change นั้นคลายปมของเรื่องได้ดีกว่าเยอะมาก เช่น ปมเรื่องพ่อของน้ำนั้นมันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ และแรงบันดาลใจของน้ำควรจะแบ่งปันไปหาพ่อมากกว่าที่จะมารวมทุกอย่างไว้ที่พี่โชน ผมคิดว่า ถ้าให้น้ำเรียนเก่งขึ้นเพราะอยากเจอพ่อ(อย่างที่หนังพยายามทำไปในทิศทางนั้นมาตลอด) นั้นจะดูดีกว่าที่จะมาบอกตอนจะจบว่าเป็นเพราะอยากให้พี่โชนสนใจเยอะเลย ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่าหนังใช้ผู้กำกับคนละคนและไม่ได้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันมารึเปล่า มันถึงได้ขัดๆความรู้สึกแบบนี้

DSC0481 พูดถึงตอนจบแล้ว ตอนจบของสิ่งเล็กๆนั้นถือได้ว่าเป็น”จุดด้อย” ที่ใหญ่ที่สุดของเรื่องเลยทีเดียว เรียกว่าทำมาดีหมดทุกอย่างแล้วมาตกม้าตายเอาตอนบทสรุปนั่นเอง หนังพยายามที่จะ“จบดี” มากเกินไปจนเลยจุดที่“ควรจะจบ” ซึ่งการจบดีนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี(ผมชอบ) แต่ชั้นเชิงในการจบมันควรจะดีกว่านี้หน่อย.. มาจบแบบนี้เหมือนหมดมุขและทำให้มันจบๆไป ทั้งๆที่ซีนนี้ควรจะเป็นซีนที่เติมเต็มความรู้สึกอิ่มให้กับผู้ชม แต่มันกลับกลายเป็นซีนลวกๆ ที่ทำให้เสียความรู้สึกไปซะอย่างนั้น (แอบคิดไปว่าถ้าเป็นอาดาจิ แกจะจบตรงที่ควรจะจบไปแล้วในฉากไดอารี่) อย่างไรก็ตาม หนังยังมาแก้ตัวได้ในซีนท้ายที่สุดจริงๆ การตัดภาพกลับไปมาแบบนั้น ทำให้คนดูลุ้นกันอย่างได้อารมณ์ทีเดียว

โดยสรุปแล้ว ถ้าเอาแค่ความประทับใจ สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ทำได้ยอดเยี่ยมดีที่สุดในรอบหลายๆปีของหนังไทย (นับจาก Seasons Change สำหรับผม) แต่ถ้าพูดถึงรายละเอียดของตัวหนังจริงๆ แล้วก็คงต้องบอกว่า มันควรจะดีกว่านี้ได้อีก มันเกือบจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ซึ่งน่าเสียดายมากๆ ถ้าหนังมีการเก็บรายละเอียดที่ดีกว่านี้สักหน่อย เรื่องนี้น่าจะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในดวงใจของผมและหลายๆคนได้ไม่ยากเลย..

ขอบใจนะ

เพลง : ขอบใจนะ
ศิลปิน : แพรว คณิตกุล
อัลบั้ม : DIY by Narongvit

ข้อความที่เธอเคยส่ง อะไรที่ทำให้ฉัน
แสดงถึงความเป็นห่วงและสนใจ
เพิ่งรู้ว่ามันลำบาก ไม่เป็นตัวเธอใช่ไหม
เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรอย่างนี้

อย่ายื้อ…ให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืน…ทำต่อไป อีกเลย เพื่อให้เรารักกัน

ขอบใจนะ ที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะ ฉันรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่ง ที่พยายามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย

อย่าโทษว่าตัวเธอผิด อย่าคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
อย่ากลัวถ้าเธอจะปล่อยมือฉันไป
กลับไปเป็นเธอคนเก่า เก็บความทรงจำนี้ไว้
ได้ไหม…ฉันขอให้เป็นอย่างนั้น

อย่ายื้อ…ให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืน…ทำต่อไป อีกเลย เพื่อให้เรารักกัน

ขอบใจนะ ที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะ ฉันรู้ว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่ง ที่พยายามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย

ขอบใจนะ 🙂